คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2368/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ทำสัญญาจำนองประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ทำไว้ต่อธนาคารโจทก์ในวงเงิน 400,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นเมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระดอกเบี้ยตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีโดยถือเอารายการบัญชีกระแสรายวันที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เต็มตามวงเงินที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาจำนองไว้เป็นวันเริ่มต้นของการคิดดอกเบี้ยทบต้น ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์มีจำนวนเกิน 400,000 บาท ในวันที่ 30 กันยายน 2525 จำเลยที่ 2 จึงต้องเสียดอกเบี้ยทบต้นให้แก่โจทก์นับแต่วันนั้นเป็นต้นไปจนถึงวันที่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เลิกกัน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกค้าโจทก์และเปิดบัญชีกระแสรายวันไว้ จำเลยที่ ๓ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์เป็นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างประกันหนี้จำเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ครบกำหนดชำระหนี้ จำเลยทั้งสามไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๖๒๐,๐๗๑.๕๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย หากไม่ชำระ ขอให้บังคับจำนอง หากได้เงินไม่พอ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การปฏิเสธและต่อสู้ด้วยว่า หนี้ของจำเลยที่ ๑ มีจำนวนไม่ถึงตามที่โจทก์ฟ้อง การคิดดอกเบี้ยทบต้นของโจทก์ไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีตามฟ้อง โดยคิดดอกเบี้ยทบต้นนับแต่วันกู้จนถึงวันที่จำเลยที่ ๒ ได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญา หลังจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยอย่างไม่ทบต้นให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในหนี้จำนวนดังกล่าว แต่ไม่เกินวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย นับจากวันที่จำเลยที่ ๒ ได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๕๘๕,๖๒๓.๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นในต้นเงินดังกล่าวถึงวันที่จำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาและดอกเบี้ยอย่างไม่ทบต้นนับแต่วันถัดจากวันนั้นเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ชำระหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ตามยอดเงินที่จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์คิดถึงวันที่จำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาในวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอย่างไม่ทบต้นในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันที่จำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ ผู้จำนองจะต้องรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นของเงินจำนวนดังกล่าวไม่ว่าหนี้ของจำเลยที่ ๑ จะมีจำนวนใดก็ตาม นับแต่วันที่หนี้ของจำเลยที่ ๑ ถึงยอดวงเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท เป็นต้นไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ เป็นจำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาท และในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาจำนองที่ดินไว้กับโจทก์เพื่อประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑ เป็นจำนวนเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ได้เบิกเงินเกินบัญชีหลายครั้งจนครบจำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาทเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๒๔ และในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยรวม ๔๐๖,๐๒๒.๖๒ บาทหลังจากนั้นจำเลยที่ ๑ ก็มิได้นำเงินเข้าหรือถอนเงินออกจากบัญชีอีกเลย จนกระทั่งวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ โจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้รับหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ และวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ ตามลำดับ คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ว่าจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ สำหรับดอกเบี้ยของต้นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาทนับแต่เมื่อใด
ปรากฏตามสัญญาจำนองที่ดินและหนังสือสัญญาจำนองต่อท้ายสัญญาจำนองกรรมสิทธิ์ที่ดิน เอกสารหมาย จ.๕ ในข้อ ๑ ความว่า ‘…ผู้จำนองได้ตกลงจำนองกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้น…ไว้แก่ผู้รับจำนองเป็นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท (สี่แสนบาทถ้วน) เป็นประกันการชำระหนี้ของนางภูษิต มิลินทเลข (จำเลยที่ ๑) ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่า’ลูกหนี้’ เป็นหนี้ผู้รับจำนองอยู่ในเวลานี้หรือในเวลาใดเวลาหนึ่งต่อไปในภายหน้าเกี่ยวกับเรื่องเงินที่ลูกหนี้ที่กล่าวแล้ว…ฯลฯ…กับค่าอุปกรณ์ คือ ดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนองฯลฯ เป็นต้น’และในข้อ ๒ มีความว่า ‘ผู้จำนองยอมเสียดอกเบี้ยให้ผู้รับจำนองในอัตราร้อยละสิบเก้าต่อปี (ภายหลังลดเหลือสิบแปดต่อปี) ในจำนวนเงินทั้งสิ้น ซึ่งลูกหนี้ที่กล่าวแล้วข้างต้นเป็นหนี้ผู้รับจำนองนั้น เงินดอกเบี้ยนี้จะได้คิดในยอดเงินประจำวันซึ่งปรากฏในบัญชีของลูกหนี้ ถ้าลูกหนี้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยที่กล่าวนี้ ผู้จำนองยอมให้ผู้รับจำนองคำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นในบัญชีของลูกหนี้ และผู้จำนองยอมรับผิดชอบชดใช้เงินดอกเบี้ยนี้ด้วย’ เห็นว่านอกจากจำเลยที่ ๒ ผู้จำนองจะต้องรับผิดตามสัญญาจำนองเป็นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท แล้ว ยังต้องรับผิดสำหรับดอกเบี้ยทบต้นเมื่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีด้วย ในการคิดดอกเบี้ยทบต้นเพื่อให้จำเลยที่ ๒ รับผิดนั้นต้องถือเอารายการบัญชีกระแสรายวันที่จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ผู้รับจำนองเต็มตามวงเงินที่จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาจำนองไว้เป็นวันเริ่มต้นของการคิดดอกเบี้ยทบต้นตามข้อตกลงของสัญญาจำนองดังกล่าว ปรากฏตามรายการบัญชีกระแสรายวัน เอกสารหมาย จ.๔ ว่า ครั้งสุดท้ายที่จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์มีจำนวนเต็มตามวงเงินที่จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาจำนองไว้คือ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๒ จึงต้องเสียดอกเบี้ยทบต้นให้แก่โจทก์นับแต่วันนั้นเป็นต้นไปจนถึงวันที่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เลิกกันที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ชำระหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ สำหรับดอกเบี้ยของต้นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ในอัตราร้อยละ๑๘ ต่อปีโดยวิธีทบต้นนับแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๔ ถึงวันที่ ๑๗ธันวาคม ๒๕๒๖ หลังจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันโดยไม่ทบต้นจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้แล้วเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒,๐๐๐ บาท.

Share