แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ซื้อที่ดินซึ่งมีโฉนดตราจองจากผู้รับจำนองโดยทำหนังสือกันเอง และรู้ก่อนซื้อว่าที่ดินนั้นเป็นของใครนั้น ได้ชื่อว่าซื้อโดยรู้ว่าผู้ขายไม่มีอำนาจขาย และถือว่ารับโอนการครอบครองที่ดินโดยอาศัยสิทธิผู้จำนองผู้เป็นเจ้าของที่ดินนั้น หาใช่ได้รับโอนการครอบครองเพื่อตนเองไม่ ฉะนั้น ถึงผู้ซื้อจะครอบครองที่ดินมาเกินสิบปี ก็หาอาจยกอายุความครอบครองปรปักษ์ยันกับทายาทผู้จำนองได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่นาพิพาท ๒๖ ไร่ เดิมเป็นของนายวันบิดาจำเลย ซึ่งได้จำนองสหกรณ์ห้วยขมิ้นไว้ แล้วนายวันได้อพยพไปอยู่ที่อื่นโดยไม่ใช้หนี้สหกรณ์ ๆ จึงได้ยึดที่พิพาทไว้และขายให้โจทก์โดยทำหนังสือซื้อขายกันเอง โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทมาเป็นเวลา ๑๐ ปีเศษ ได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา ๑๓๘๒ ต่อมาจำเลยไปยื่นเรื่องราวขอรับมรดกที่ดินรายพิพาทของบิดา จึงขอให้บังคับจำเลยระงับการขอรับมรดกและห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การครอบครองของโจทก์ไม่พอฟังว่าเป็นการครอบครองโดยปรปักษ์ ไม่ได้กรรมสิทธิ์ พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
มีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกาว่า เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินรายพิพาทไว้และครอบครองมากว่า ๑๐ ปีแล้วเช่นนี้ โจทก์จะได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทหรือไม่ เห็นว่า การซื้อขายที่ดินรายพิพาทมิได้ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้ โจทก์ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยผลแห่งสัญญาซื้อขาย ส่วนเรื่องครอบครองนั้นปรากฏว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดตราจองที่ ๕๘ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งจำนองไว้กับสหกรณ์ห้วยขมิ้น โจทก์ก็รับว่าก่อนจะซื้อโจทก์ได้รู้แล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายวัน ฉะนั้น การที่โจทก์ซื้อที่ดินรายพิพาทจากสหกรณ์ห้วยขมิ้น จึงได้ชื่อว่าโจทก์ซื้อโดยรู้ว่าสหกรณ์ห้วยขมิ้นผู้ขายไม่มีอำนาจ ย่อมถือได้ว่าโจทก์รับโอนการครอบครองที่ดินพิพาทจากสหกรณ์ห้วยขมิ้นโดยรู้ว่าการครอบครองที่โจทก์รับโอนมานั้นเป็นการครอบครองแทนโดยอาศัยสิทธิของนายวันผู้เป็นเจ้าของ หาได้รับโอนการครอบครองเพื่อตนเองไม่ เมื่อเช่นนี้ โจทก์จึงอ้างการครอบครองปรปักษ์ยันจำเลยซึ่งเป็นทายาทของนายวันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ไม่ได้ ศาลทั้งสองพิพากษาให้ยกฟ้องเป็นการชอบแล้ว
พิพากษายืน