แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์แต่ละคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์แต่ละคนชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลโดยลำพัง ฉะนั้น แม้โจทก์จะฟ้องมาในคดีเดียวกัน ก็ต้องพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับโจทก์แต่ละคนแยกกัน เมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องมีจำนวนไม่เกิน 5,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์แต่ละคนจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2511)
การที่จำเลยที่ 2 ไม่เข้าเบิกความเป็นพยาน ไม่มีกฎหมายตัดสิทธิมิให้จำเลยที่ 2 นำพยานเข้าสืบหรือบัญญัติว่าจะเอาคำเบิกความของพยานนั้นหรือคำเบิกความของจำเลยด้วยกันมาฟังเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายศิลา นางจันทา ขันโอฬาร ซึ่งมีบุตรด้วยกัน ๗ คน นายศิลานางจันทามีทรัพย์ที่ทำมาหาได้ด้วยกันหลายอย่าง รวมราคา ๓๙,๙๐๐ บาท เมื่อประมาณ ๑๒ ปีมาแล้ว บิดามารดาโจทก์ได้แบ่งที่นาให้แก่บุตรทุกคนเป็นส่วนสัด โจทก์ที่ ๑ ได้รับส่วนแบ่งหมายสีแดง (ก) เนื้อที่ ๑๙ ไร่ ราคา ๒,๕๐๐ บาท นายดีได้รับหมายสีแดง (ข) เนื้อที่ ๒๒ ไร่ ราคา ๒,๕๐๐ บาท ส่วนทรัพย์ตามบัญชีอันดับ ๒, ๓, ๔ และ ๕ ยังไม่ได้แบ่ง ต่อมานายศิลาบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม ครั้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ นางจันทามารดาโจทก์ก็ถึงแก่กรรมลงอีก ทรัพย์ที่ยังไม่ได้แบ่งดังกล่าวแล้วจึงเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์และทายาททุกคนสำหรับที่นาที่โจทก์ที่ ๑ และนายดีได้รับส่วนแบ่งไว้แล้วนั้น โจทก์ที่ ๑ และนายดีได้มอบให้โจทก์ที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองดูแลแทน และต่อมาเมื่อนายดีถึงแก่กรรมลง โจทก์ที่ ๒ก็ครอบครองดูแลแทนบุตรนายดี จำเลยไม่เคยเข้าเกี่ยวข้อง เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๐๗ จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องขอรับมรดก รวมทั้งที่นาที่แบ่งแล้วด้วย โจทก์จึงยื่นคำร้องขอรับส่วนแบ่ง แต่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์มีส่วนได้ในมรดกที่ยังไม่ได้แบ่งคนละ ๑ ส่วนใน ๗ ส่วน คิดเป็นเงินคนละ ๗๐๐ บาท จึงขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่นาหมายสีแดง (ก) และ (ข)ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ทั้งสอง และพิพากษาให้แบ่งทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง อันดับ ๒, ๓, ๔ และ ๕ ออกเป็น ๗ ส่วนให้โจทก์ได้รับคนละ ๑ ส่วน ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็ให้ประมูลในระหว่างกัน หรือขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ชั้นพิจารณาในระหว่างสืบพยานจำเลย โจทก์ที่ ๒ และจำเลยได้ตกลงกันเฉพาะที่นาที่เป็นส่วนของนายดีว่า จำเลยยอมให้เงินแก่โจทก์ที่ ๒เป็นเงิน ๑,๒๕๐ บาทแล้วจำเลยจะเอานาส่วนของนายดีที่พิพาทกันอยู่เป็นสิทธิของจำเลย โจทก์ที่ ๒ ยอมยกนาส่วนนี้ให้แก่จำเลย โดยจะไม่มาเกี่ยวข้องอีก
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกันใช้เงิน ๑,๒๕๐ บาทแก่นางปานทอง และนางสาวเหรียญภายใน ๓ เดือน นับแต่วันพิพากษาคดีนี้และให้นาพิพาทส่วนที่นายดีได้รับแบ่งตกเป็นสิทธิของจำเลยไป ทรัพย์นอกนั้นคดีของโจทก์ขาดอายุความ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่โจทก์แต่ละคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕โจทก์แต่ละคนชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลโดยลำพัง ฉะนั้น แม้โจทก์ฟ้องมาในคดีเดียวกัน ก็ต้องพิจารณาทุนทรัพย์ของคดีสำหรับโจทก์แต่ละคนแยกกัน เมื่อปรากฏว่าราคาทรัพย์สินที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องมีจำนวนไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์แต่ละคนจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘
ข้อที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า เมื่อจำเลยที่ ๒ไม่เข้าเบิกความ ถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ ไม่มีพยานนำสืบในชั้นพิจารณาจำเลยที่ ๒ ต้องแพ้คดีนั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ได้เข้าเบิกความและมีนายพิมพ์ เพียรประดับ ซึ่งจำเลยทุกคนอ้างเป็นพยาน ได้เบิกความอีกด้วย ลำพังเหตุที่จำเลยที่ ๒ ไม่เข้าเบิกความ ก็ไม่มีกฎหมายตัดสิทธิมิให้จำเลยที่ ๒ นำพยานเข้าสืบ หรือบัญญัติว่าจะเอาคำเบิกความของพยานนั้น หรือคำเบิกความของจำเลยด้วยกันมาฟังเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ ๒ ไม่ได้
พิพากษายืน