แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าใบแจ้งย้ายที่อยู่ท.ร.17 เป็นเอกสารราชการที่พวกของจำเลยปลอมขึ้นไปใช้ และแสดงต่อ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเขตพระโขนง ให้หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง อันเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อ เจ้าพนักงานผู้กระทำการตาม หน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเขตพระโขนงหลงเชื่อจึงได้ จดข้อความอันเป็นเท็จนั้นลงในทะเบียนบ้านของจำเลย อันเป็นเอกสารของทางราชการโดย ประการที่จะเกิดความเสียหายแก่นายทะเบียนท้องถิ่นเขตพระโขนงผู้อื่นและประชาชน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267,268 นั้น เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267และมาตรา 268 ซึ่ง เกิดจากการกระทำผิดฐานใช้ หรืออ้างเอกสารราชการปลอมแต่ มาตรา 268 มิได้ระวางอัตราโทษไว้โดยเฉพาะ ว่าจะให้ลงโทษแก่ผู้กระทำผิดอย่างไรคงให้นำอัตราโทษตาม ที่ระบุไว้ในมาตรา 264,265,266 หรือมาตรา 267 ซึ่ง แล้วแต่ว่าเอกสารที่ได้ใช้ หรืออ้างนั้นเกิดขึ้นจากการกระทำผิดของมาตราใดดังที่กล่าวแล้วมาใช้ ในคดีนี้หากจะมีการลงโทษจำเลยตาม มาตรา 268ก็จะต้อง นำเอาอัตราโทษตาม ที่กำหนดไว้ในมาตรา 265 มาใช้ เป็นโทษของมาตรา 268 ซึ่ง มาตรา 265 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หกเดือนถึง ห้าปี และปรับตั้งแต่ หนึ่งพัน บาทถึง หนึ่งหมื่นบาท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีโจทก์ในข้อหานี้จึงไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน2524 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2524 เวลากลางวัน วันใดไม่ปรากฏชัด พวกของจำเลยได้ทำการปลอมเอกสารในแจ้งการย้ายที่อยู่ท.ร.17 ตอนที่ 1 เล่มที่ 8555-ท เลขที่ 06 อันเป็นเอกสารราชการทั้งฉบับโดยกรอกข้อความว่าสำนักทะเบียนที่ว่าการเขตห้วยขวางที่ 1205 ลงวันที่ 29 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524 เขตห้วงขวางจังหวัดกรุงเทพมหานคร และข้อความว่า ลำดับที่ 13 ชื่อเด็กชายชูเกียรติ แซ่เต็ง เพศชาย เกิดวันที่ 15 กค. 10 สัญชาติไทยมารดาชื่อวิภา สัญชาติไทย บิดา ชื่อเต็งติวยิว สัญชาติจีน ลำดับที่ 14 ชื่อเด็กชายรุ่งโรจน์ แซ่เต็ง เพศชาย เกิดวันที่ 10 กพ. 12สัญชาติไทย มารดาชื่อวิภา สัญชาติไทย บิดาชื่อเต็งติวยิวสัญชาติจีย ย้ายออกจากบ้านเลขที่ 135 ถนนริมคลองแสนแสบแขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 29มิถุนายน พ.ศ. 2524 ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 104/1 ซอยจัดสรรสุนทรเปรมฤทัย 14 แขวงหนองบอน เขตพระโขนงจังหวัดกรุงเทพมหานคร กับได้ปลอมลายมือชื่อผู้แจ้งย้ายออกและนายทะเบียนท้องถิ่น เขตห้วยขวาง ในใบแจ้งย้ายที่อยู่ ท.ร.17ดังกล่าว ซึ่งความจริงแล้วนายทะเบียนท้องถิ่นเขตห้วงขวางไม่ได้ออกเอกสารใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 ดังกล่าวเพื่อแสดงว่าเด็กชายชูเกียรติ แซ่เต็ง และเด็กชายรุ่งโรจน์ แซ่เต็ง ย้ายออกจากบ้านเลขที่ 135 ถนนริมคลองแสนแสบ แขวงบางกะปิเขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ไปอยู่ที่ 104/1 ซอยจัดสรรสุนทรเปรมฤทัย 14 แขวงหนองบอน เขตพระโขนงจังหวัดกรุงเทพมหานคร แต่อย่างใด และบ้านเลขที่ 135 ถนนริมคลองแสนแสบ แขวงบางกะปิ เขตห้วงขวาง กรุงเทพมหานคร เป็นบ้านว่างไม่มีคนอยู่อาศัยและไม่มีทะเบียนบ้านด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 2กรกฎาคม 2524 เวลากลางวัน จำเลยได้รู้อยู่แล้วว่าใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 ดังกล่าวเป็นเอกสารราชการที่พวกของจำเลยปลอมขึ้น จำเลยได้ใช้อ้างแสดงต่อนางแพรวพรรณ ทิมรัตน์ และนายเชาวฤทธิ์ ทรงนวรัตน์ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเขตพระโขนง เพื่อให้นางแพรวพรรณ ทิมรัตน์ และนายเชาวฤทธิ์ ทรงนวรัตน์ หลงเชื่อว่าใบแจ้งการย้ายที่อยู่ ท.ร.17 เป็นเอกสารที่แท้จริงที่นายทะเบียนท้องถิ่นเขตห้วงขวางเป็นผู้จัดทำขึ้น แจ้งย้ายเด็กชายชูเกียรติ แซ่เต็ง และเด็กชายรุ่งโรจน์ แซ่เต็ง จากบ้านเลขที่ 135 ถนนริมคลองแสนแสบ แขวงบางกะปิ เขตห้วงขวางกรุงเทพมหานคร มาอยู่บ้านเลขที่ 104/1 ซอยจัดสรรสุนทรเปรมฤทัย 14เขตหนองบอน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร อันเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ซึ่งนายเชาวฤทธิ์ทรงนวรัตน์ และนางแพรวพรรณ ทิมรัตน์ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเขตพระโขนงหลงเชื่อจึงได้จัดข้อความการแจ้งย้ายชื่อ เด็กชายชูเกียรติ แซ่เต็ง และเด็กชายรุ่งโรจน์ แซ่งเต็ง ลงในทะเบียนบ้านเลขที่ 104/1 ซอยจัดสรรสุนทรเปรมฤทัย 14 แขวงหนองบอน เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นทะเบียนบ้านของจำเลยอันเป็นเอกสารราชการมีวัตถุประสงค์ใช้เป็นหลักฐานของทางราชการ สำนักงานเขตพระโขนงการกระทำของจำเลยดังกล่าวน่าจะเกิดความเสียหายแก่นายทะเบียนถ้องถิ่น เขตห้วยขวาง นายเชาวฤทธิ์ ทรงนวรัตน์นางแพรวพรรณ ทิมรัตน์ นายทะเบียนท้องถิ่น เขตพระโขนง ผู้อื่นและประชาชน เหตุเกิดที่แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267, 268
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267,268 ระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหาพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา193 ทวิ หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ที่บรรยายฟ้องมาว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่าใบแจ้งย้ายที่อยู่ ท.ร.17 เป็นเอกสารราชการที่พวกของจำเลยปลอมขึ้นไปใช้และแสดงต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเขตพระโขนงให้หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง อันเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเขตพระโขนงหลงเชื่อจึงได้จดข้อความอันเป็นเท็จนั้นลงในทะเบียนบ้านของจำเลยอันเป็นเอกสารของทางราชการโดยประการที่จะเกิดความเสียหายแก่นายทะเบียนท้องถิ่นเขตพระโขนงผู้อื่นและประชาชน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267,268 นั้น เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 และมาตรา 268 ซึ่งเกิดจากการกระทำผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอม แต่เนื่องจาก มาตรา268 มิได้ระวางอัตราโทษไว้โดยเฉพาะว่าจะให้ลงโทษแก่ผู้กระทำผิดอย่างไร คงให้นำอัตราโทษตามที่ระบุไว้ในมาตรา 264 มาตรา 265มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ซึ่งแล้วแต่ว่าเอกสารที่ได้ใช้หรืออ้างนั้น เกิดขึ้นจากการกระทำผิดของมาตราหนึ่งมาตราใดดังที่กล่าวแล้วมาใช้ ในกรณีเช่นนี้หากจะมีการลงโทษตามมาตรา 268 ก็จะต้องนำเอาอัตราโทษตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 265 มาใช้เป็นโทษของมาตรา 268 เพราะโจทก์ได้กล่าวอ้างมาในฟ้องด้วยว่า จำเลยได้ใช้หรืออ้างเอกสารอันเป็นเอกสารราชการที่พวกของจำเลยได้ปลอมขึ้นเมื่อมาตรา 265 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท คดีโจทก์ในข้อนี้จึงไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.