คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2356/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน นัดสืบพยานจำเลยนัดแรก จำเลยอ้างว่าป่วยขอเลื่อนคดี นัดที่สองอ้างว่าทนายจำเลยป่วยขอเลื่อนคดี นัดที่สามจำเลยและโจทก์แถลงขอเลื่อนคดีเพื่อเจรจา นัดที่สี่จำเลยยอมรับว่าจำเลยผิดนัดไม่ไปตรวจสอบหนี้สินตามที่โจทก์นัด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ แต่จำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานปากเดียว ส่วนพยานอื่นไม่มาศาล.ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำชับให้จำเลยนำพยานมาสืบให้เสร็จในนัดหน้า ถ้าพยานไม่มาให้ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบ นัดที่ห้าจำเลยนำพยานเข้าสืบ 4 ปาก แล้วแถลงว่ายังติดใจสืบพยานอีก 2 ปาก ซึ่งมาศาลแล้วแต่กลับไปก่อนและติดธุระมาศาลไม่ได้ ปรากฏว่าพยานที่จำเลยยังติดใจสืบนั้น ก็เพื่อประโยชน์คดีอื่นของจำเลยไม่เกี่ยวกับเช็คพิพาทคดีนี้ และไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีนี้ พฤติการณ์ของจำเลยส่อเจตนาประวิงคดี ชอบที่ศาลชั้นต้นจะตัดพยานจำเลยดังกล่าว
จำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค จึงต้องสันนิษฐานว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 เมื่อจำเลยอ้างว่าออกเช็คให้โจทก์ยืมไปแลกเงินสดเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของโจทก์ โดยจำเลยไม่มีมูลหนี้ที่จักต้องชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ให้เห็นโดยชัดแจ้งเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ก็ต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คมอบแก่โจทก์ไปแลกเงินสดจาก ส. ให้จำเลย โดยโจทก์ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คนั้น เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงได้ใช้เงินตามเช็คนั้นไปและรับมอบเช็คคืนมา เช็คดังกล่าวเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โจทก์ได้เช็คไว้ในครอบครองก็นับว่าเป็นผู้ทรงมีอำนาจฟ้องเรียกร้องเงินตามเช็คจากจำเลยผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายได้ดังนี้คำบรรยายฟ้องและทางพิจารณาที่โจทก์นำสืบหาขัดแย้งกันไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คชนิดออกให้แก่ผู้ถือ ๑๓ ฉบับ ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์สลักหลังเช็คและนำไปแลกเงินสดจากผู้มีชื่อ เมื่อเช็คถึงกำหนดผู้มีชื่อนำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้ทรงเช็คทวงถามโจทก์ในฐานผู้สลักหลัง โจทก์ใช้เงินตามเช็คไปแล้วจึงขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้จ่ายเช็คชำระหนี้โจทก์ โจทก์ยืมเช็คไปแลกเงินสดจากผู้อื่น โดยสัญญาว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมเงินในบัญชีของจำเลยในธนาคารซึ่งโจทก์เป็นผู้จัดการอยู่ ต่อมาโจทก์ผิดใจกับจำเลย จึงแกล้งจำเลยโดยลงวันที่ในเช็คที่ยืมพร้อมกับนำเช็คไปเข้าบัญชีบุคคลอื่นแล้วนำคดีมาฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน และนัดสืบพยานจำเลยแล้ว นัดแรกจำเลยขอเลื่อนคดี อ้างว่าตัวจำเลยป่วย นัดที่สองจำเลยขอเลื่อนคดีอีก อ้างว่าทนายความจำเลยป่วย นัดที่สามจำเลยและโจทก์แถลงขอเลื่อนคดีเพื่อเจรจา ตรวจสอบหนี้สินที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ครั้นนัดที่สี่จำเลยแถลงยอมรับว่า จำเลยผิดนัดไม่ไปตรวจสอบหนี้สินตามที่โจทก์นัด ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ แต่จำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานปาก เดียวส่วนพยานอื่นไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำชับให้จำเลยนำพยานมาสืบให้เสร็จในนัดหน้าถ้าพยานไม่มาให้ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบ นัดที่ห้าจำเลยนำพยานเข้าสืบ ๔ ปาก แล้วแถลงติดใจสืบนายมงคลซึ่งมาศาลแล้วแต่กลับไปก่อนเข้าเบิกความ กับนายวีระชัยซึ่งติดธุระมาศาลไม่ได้ โดยจะสืบนายวีระชัยที่มีพฤติการณ์สมคบกับโจทก์นำเช็คไม่มีมูลหนี้มาฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา ส่วนนายมงคลเป็นบุตรโจทก์ซึ่งจำเลยโอนที่ดินใส่ชื่อนายมงคลเป็นเจ้าของที่ดิน เพื่อเป็นประกันหนี้ที่โจทก์อ้างว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ธนาคารและนายมงคลเอาที่ดินนั้นไปขายเสีย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพยานจำเลยดังกล่าวไม่เกี่ยวกับข้อต่อสู้ของจำเลยคดีนี้ ส่วนพยานจำเลยที่มาศาลแล้วกลับไปเสียก่อนเข้าเบิกความก็ไม่ใช่เหตุที่จะขอเลื่อนคดี จึงไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี และตัดพยานจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่านอกจากพฤติการณ์จำเลยส่อเจตนาประวิงคดีแล้ว การที่จำเลยติดใจสืบพยานปากนายมงคลก็เพื่อประโยชน์คดีอื่นของจำเลย และสืบพยานปากนายวีระชัยก็ไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีนี้ ศาลล่างทั้งสองเห็นพ้องกันให้ตัดพยานจำเลยดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๐๐ บัญญัติว่า ‘บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น’ จำเลยได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท จึงต้องสันนิษฐานว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้เมื่อจำเลยอ้างว่าออกเช็คให้โจทก์ยืมไปแลกเงินสดเพื่อประโยชน์ส่วนตัวโจทก์ โดยจำเลยไม่มีมูลหนี้ที่จักต้องชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ จำเลยผู้สั่งจ่ายจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ให้เห็นโดยชัดแจ้ง เมื่อพยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยไม่มีมูลหนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ แต่กลับนำสืบว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์นำไปแลกเงินสดให้จำเลยจึงขัดแย้งกัน ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้และเสียเปรียบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์นำไปแลกเงินสดให้จำเลยนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จะเป็นผู้ทรงเช็คและมาฟ้องคดีนี้เมื่อได้ความว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ไปแลกเงินสดจากนางสุจิณาโดยในการนี้โจทก์ได้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือการสลักหลังนั้นจึงเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายคือจำเลย ดังนั้นเมื่อโจทก์ได้ใช้เงินตามเช็คซึ่งธนคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วให้แก่นางสุจิณา ผู้ทรงคนเดิมและรับมอบเช็คนั้นคืนมาแล้ว โจทก์ผู้มีเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือไว้ในครอบครองโจทก์ผู้ถือก็นับว่าเป็นผู้ทรงมีอำนาจฟ้องเรียกร้องเงินตามเช็คพิพาทจากจำเลยผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายได้ คำบรรยายฟ้องและทางพิจารณาที่โจทก์นำสืบหาขัดแย้งกันไม่
พิพากษายืน.

Share