แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานที่มิได้เกี่ยวข้องกับข้อต่อสู้ในมูลคดีแต่จะนำเข้าสืบเพื่อประโยชน์แห่งคดีอื่นศาลงดสืบพยานนี้เสียได้เพราะเป็นการนำสืบพยานอันไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาจำเลยมีหน้าที่นำสืบแต่ขอเลื่อนคดีหลายนัดติดต่อกันอ้างว่าตัวจำเลยป่วยบ้างทนายจำเลยป่วยบ้างหรือขอเลื่อนคดีอ้างว่าจะเจรจากับโจทก์เพื่อตรวจสอบหนี้สินแต่จำเลยก็มิได้ไปตรวจสอบหนี้สินตามที่โจทก์นัดเมื่อศาลชั้นต้นสั่งกำชับให้จำเลยนำพยานมาสืบให้เสร็จในวันนัดจำเลยนำพยานเข้าสืบแล้วขอเลื่อนคดีพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการประวิงคดีศาลสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและตัดพยานจำเลยได้ จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทต้องสันนิษฐานว่าได้ออกเช็คเพื่อชำระหนี้หากจำเลยจะอ้างว่าได้ออกเช็คเพื่อวัตถุประสงค์อื่นจำเลยต้องมีหน้าที่นำสืบ เช็คพิพาทเป็นเช็คผู้ถือซึ่งจำเลยสั่งจ่ายมอบให้โจทก์โจทก์นำไปแลกเงินจากส. โดยโจทก์ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทไว้อันเป็นการประกัน(อาวัล)สำหรับจำเลยผู้สั่งจ่ายเมื่อโจทก์ได้ใช้เงินตามเช็คและรับเช็คคืนมาจากส. เพราะธนาคารตามเช็คปฏิเสธการใช้เงินโจทก์ก็นับได้ว่าเป็นผู้ทรงเช็คนั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 13 ฉบับ รวมเป็นเงิน1,023,000 บาท ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ได้นำเช็คไปแลกเงินสดจากผู้มีชื่อ ต่อมาธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าโปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย ผู้มีชื่อจึงทวงถามโจทก์ในฐานะผู้สลักหลังเช็คโจทก์ใช้เงินและรับเช็คคืนมาแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็ค ขอให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่โจทก์ชำระเงินแก่ผู้มีชื่อเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้โจทก์ แต่จำเลยให้โจทก์ยืมเช็คไปแลกเงินสดจากผู้อื่น แล้วโจทก์จะชำระเงินคืนให้โดยผ่านบัญชีของจำเลย แต่โจทก์แกล้งจำเลยโดยนำเช็คไปเข้าบัญชีผู้อื่นแล้วนำคดีมาฟ้องจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จำเลยอุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ได้ความว่าเมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนและนัดสืบพยานจำเลยแล้ว นัดแรกจำเลยขอเลื่อนคดีอ้างว่าจำเลยป่วย นัดที่สองจำเลยขอเลื่อนคดีอีกอ้างว่าทนายความจำเลยป่วย นัดที่สามจำเลยและโจทก์แถลงขอเลื่อนคดีเพื่อเจรจาตรวจสอบหนี้สินที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ครั้นนัดที่สี่จำเลยแถลงยอมรับว่า จำเลยผิดนัดไม่ไปตรวจสอบหนี้สินตามที่โจทก์นัดศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้จำเลยนำพยานเข้าสืบแต่จำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานปากเดียวส่วนพยานอื่นไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำชับให้จำเลยนำพยานมาสืบให้เสร็จในนัดหน้า ถ้าพยานไม่มาให้ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบ นัดที่ห้าจำเลยนำพยานเข้าสืบ 4 ปาก แล้วแถลงว่ายังติดใจสืบนายมงคล ส่องไพโรจน์ ซึ่งมาศาลแล้วแต่กลับไปก่อนเข้าเบิกความกับนายวีระชัย ไชยะธน ซึ่งติดธุระมาศาลไม่ได้ โดยจะสืบนายวีระชัยที่มีพฤติการณ์สมคบกับโจทก์นำเช็คไม่มีมูลหนี้มาฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา ส่วนนายมงคลเป็นบุตรโจทก์ซึ่งจำเลยโอนที่ดินใส่ชื่อนายมงคลเป็นเจ้าของที่ดินเพื่อเป็นประกันหนี้ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ธนาคารและนายมงคลเอาที่ดินแปลงนั้นไปขายเสีย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพยานจำเลยดังกล่าวไม่เกี่ยวกับข้อต่อสู้ของจำเลยคดีนี้ ส่วนพยานจำเลยที่มาศาลแล้วกลับไปเสียก่อนเข้าเบิกความก็ไม่ใช่เหตุที่จะขอเลื่อนคดี จึงไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและตัดพยานจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า นอกจากพฤติการณ์จำเลยส่อเจตนาประวิงคดีแล้ว ที่จำเลยติดใจสืบพยานปากนายมงคลบุตรโจทก์นั้นก็ปรากฏตามคำเบิกความของจำเลยว่า จำเลยโอนที่ดินใส่ชื่อนายมงคลเป็นเจ้าของเพื่อประกันหนี้เงิน 800,000 บาทที่จำเลยไปขอให้โจทก์ยืมเงินบุคคลอื่นมาให้จำเลยไปซื้อที่ดินและเหตุที่อ้างก็เกิดขึ้นภายหลังจำเลยได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์ไปแลกเงินสดแล้ว การที่จำเลบยังติดใจสืบพยานปากนายมงคลจึงเพื่อประโยชน์คดีอื่นของจำเลย สำหรับนายวีระชัยเป็นบุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คหลายฉบับที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายและไม่เกี่ยวกับเช็คพิพาทคดีนี้ จำเลยได้อ้างสำนวนคดีอาญาที่นายวีระชัยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คแล้วได้ถอนฟ้องเสียเป็นพยานหลักฐานอยู่แล้ว การที่จำเลยยังติดใจสืบพยานปากนายวีระชัยอยู่อีกจึงไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นพ้องต้องกันให้ตัดพยานจำเลยดังกล่าวจึงชอบแล้ว… จำเลยได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท จึงต้องสันนิษฐานว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ เมื่อจำเลยอ้างว่าออกเช็คให้โจทก์ยืมไปแลกเงินสดเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของโจทก์ โดยจำเลยไม่มีมูลหนี้ที่จักต้องชำระเงินตามเช็คให้แก่โจทก์ จำเลยผู้สั่งจ่ายจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ให้เห็นโดยชัดแจ้ง… ที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์นำไปแลกเงินสดให้จำเลยนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่โจทก์จะเป็นผู้ทรงเช็คและมาฟ้องคดีนี้ เมื่อได้ความว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้แก่โจทก์ไปแลกเงินสดจากนางสุจิณา ปิ่นสุภาเกียรติ โดยในการนี้โจทก์ได้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ การสลักหลังนั้นจึงเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายคือ จำเลย ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ใช้เงินตามเช็คซึ่งธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วให้แก่นางสุจิณา ปิ่นสุภาเกียรติผู้ทรงคนเดิมและรับมอบเช็คนั้นคืนมาแล้ว โจทก์ผู้มีเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือไว้ในครอบครองโจทก์ผู้ถือก็นับว่าเป็นผู้ทรงมีอำนาจฟ้องเรียกร้องเงินตามเช็คพิพาทจากจำเลยผู้ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายได้ คำบรรยายฟ้องและทางพิจารณาที่โจทก์นำสืบหาขัดแย้งกันตามฎีกาจำเลยไม่
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 5,000 บาทแทนโจทก์ด้วย.”