คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2355/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ แต่เป็นหนี้มารดาโจทก์ จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์ โดยโจทก์ทำแทนมารดาโจทก์ โจทก์และจำเลยจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกันโจทก์ฟ้องคดีเกี่ยวกับหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวโดยมิได้รับมอบอำนาจฟ้องจากมารดาโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 70,000 บาท จะชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤศจิกายน2529 แต่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน81,462 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน70,000 บาท นับแต่วันฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากมารดาโจทก์ 10,000 บาทมารดาโจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 บาท ต่อเดือน ต่อมาเมื่อปี2529 มารดาโจทก์คิดดอกเบี้ยแล้วนำไปรวมกับต้นเงิน ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้มารดาโจทก์รวม 70,000 บาท และจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารท้ายฟ้องมอบแก่โจทก์ซึ่งความจริงจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์แต่อย่างใด จำเลยชำระหนี้แก่มารดาโจทก์ครบถ้วนแล้วขอให้ยกฟ้อง
เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า หนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้เป็นของมารดาโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับมอบอำนาจจากมารดาให้ฟ้องคดีและที่โจทก์นำสืบอ้างว่ามารดาโจทก์ยกหนี้ดังกล่าวให้โจทก์ก็ไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายเรื่องการโอนหนี้แล้วจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน 11,462 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยในข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยให้การไว้ว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้มารดาโจทก์ โจทก์ทำหนังสือรับสภาพหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยนำมาให้จำเลยลงชื่อความจริงแล้วจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ ซึ่งข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเป็นหนี้เงินกู้มารดาโจทก์โจทก์ทำหนังสือรับสภาพหนี้แทนมารดาโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับมอบอำนาจจากมารดาโจทก์ โจทก์และจำเลยจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีในนามของตนเองโดยมิได้รับมอบอำนาจจากมารดาโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนที่โจทก์นำสืบและอ้างในคำแก้ฎีกาว่ามารดาโจทก์ยกหนี้รายนี้ให้โจทก์นั้นเห็นว่า โจทก์มิได้ฟ้องตั้งประเด็นเช่นนั้นแม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมาก็ตาม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นคดีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามาศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share