คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2350/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญเพียงคนเดียว ซึ่งโดยปกติพยานเดี่ยว เช่นนี้จะมีน้ำหนักในการรับฟังน้อย แต่หาใช่ว่าจะรับฟังไม่ได้เลย หากโจทก์มี พยานหลักฐานอื่นที่ดีมาร่วมวินิจฉัยเข้าด้วยกันแล้วพยานเดี่ยว ดังกล่าวก็สามารถรับฟังได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 210
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคหนึ่ง, 83 จำคุกคนละ 3 ปีคำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ก็คือจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญเพียงคนเดียวซึ่งโดยปกติแล้วพยานเดี่ยวเช่นนี้จะมีน้ำหนักในการรับฟังน้อยอยู่แล้วแต่หาใช่ว่าจะรับฟังไม่ได้เลย ทั้งนี้หากโจทก์มีพยานหลักฐานอื่น ๆที่ดีมาร่วมวินิจฉัยเข้าด้วยกันแล้ว พยานเดี่ยวดังกล่าวก็สามารถรับฟังได้เช่นกัน ซึ่งผู้เสียหายได้เบิกความถึงมูลคดีโดยเริ่มตั้งแต่ผู้เสียหายมีอาชีพเป็นตัวแทนจำหน่ายสุราในประเทศและเป็นนายหน้าขายที่ดินด้วยเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองซึ่งไม่เคยรู้จักกับผู้เสียหายมาก่อนสามารถเข้ามาทำความรู้จักกับผู้เสียหายได้โดยอาศัยอาชีพของผู้เสียหายดังกล่าวนั่นก็คือจำเลยทั้งสองได้มาติดต่อซื้อสุราต่างประเทศจากผู้เสียหาย ผู้เสียหายได้แนะนำให้ไปซื้อที่ร้านอื่นเพราะผู้เสียหายไม่ได้จำหน่ายสุราต่างประเทศแล้ว จำเลยทั้งสองได้ถามผู้เสียหายว่ามีที่ดินไหมเพราะต้องการจะซื้อที่ดิน ผู้เสียหายบอกว่าพอจะช่วยหาที่ดินให้ได้ ต่อมาประมาณ 10 กว่าวัน จำเลยที่ 1 ได้โทรศัพท์มาสอบถามเรื่องที่ดินจึงพาจำเลยทั้งสองไปดูที่ดินที่จังหวัดอำนาจเจริญมีเนื้อที่ประมาณ 29 ไร่ ราคาไร่ละ 290,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 บอกว่าจะซื้อโดยไม่ต่อรองราคาแต่ต้องกลับไปบอกเถ้าแก่ของจำเลยที่ 1เสียก่อนเพราะเป็นคนซื้อ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้โทรศัพท์นัดซื้อที่ดินในวันที่ 26 กรกฎาคม 2537 เวลา 8 นาฬิกา ครั้นถึงวันนัดจำเลยทั้งสองได้มาที่บ้านผู้เสียหายแล้วพากันไปที่ร้านอาหารวังไผ่ เมื่อไปถึงพบชายคนหนึ่งซึ่งจำเลยที่ 1 บอกว่าเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต่อมามีนายชาญซึ่งจำเลยที่ 1บอกว่าเป็นเถ้าแก่มานั่งสมทบ ขณะที่คุยกันนายชาญพูดว่านี่หรือนายหน้าขายที่ดินน้ำหน้าอย่างนี้จะมีเงินล้านถ้ามีจริงให้เอามาให้ดูแล้วจะให้เงิน 50,000 บาท เป็นเหตุผู้เสียหายกลับมารวบรวมเงินและทองรูปพรรณต่าง ๆ เพื่อให้ได้ราคาหนึ่งล้านบาทแล้วกลับไปที่ร้านอาหารพบกับชายที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นผู้จัดการกับชายอีกคนหนึ่งไม่ทราบชื่อ ต่อมานายชาญได้เข้ามาสมทบอีก แล้วชายคนที่เป็นผู้จัดการได้ชวนผู้เสียหายเล่นการพนันกำถั่วโดยให้เป็นเจ้ามือและมีชายไม่ทราบชื่อเป็นคนสอนวิธีการเล่นและวิธีการโกงให้ด้วยโดยจำเลยทั้งสองทำเป็นว่าร่วมเล่นเป็นลูกค้าด้วย แต่ตกลงกับผู้เสียหายว่าเมื่อเล่นเสร็จแล้วผู้เสียหายได้เงินเท่าใดจะต้องแบ่งให้จำเลยทั้งสองด้วย ซึ่งตอนแรกผู้เสียหายแล่นได้เงินจากนายชาญหลายล้านบาท แต่ภายหลังกลับเสียให้นายชาญเป็นเงิน 12 ล้านบาท จึงเอาเงินและทองที่ไปหามาดังกล่าวตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้าย เอกสารหมาย จ.1 มอบให้นายชาญไปแล้วยังเป็นหนี้นายชาญอีกหนึ่งล้านบาทเศษ ซึ่งชายคนที่เป็นผู้จัดการบอกว่าอีก 1 สัปดาห์จะโทรศัพท์นัดให้ผู้เสียหายมาเล่นแก้มือใหม่ที่ร้านอาหารนี้ แต่ไม่มีการโทรศัพท์มานัดแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 นอกจากนั้นโจทก์ยังมีนายกุหลาบมาเบิกความยืนยันว่าเคยถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงด้วยวิธีการเดียวกันนี้เหมือนกันเป็นเหตุให้ต้องเสียเงินในการเล่นพนันกำถั่วไปสี่แสนบาท ซึ่งได้แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ไว้แล้วเช่นกันที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองมุกดาหารจากคำเบิกความของผู้เสียหายนายอนุชิตและนายกุหลาบ เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันประกอบกับพยานโจทก์ทั้งสองต่างเบิกความมีลักษณะเป็นการเล่าเรื่องต่าง ๆไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อนและเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในระยะเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดอีกทั้งจำเลยทั้งสองไม่สามารถถามค้านพยานโจทก์ดังกล่าวเพื่อให้เห็นเป็นอย่างอื่นได้ ทำให้คดีโจทก์มีเหตุผลน่าเชื่อถือมากขึ้นจึงเชื่อได้โดยปราศจากความสงสัยว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คนรวม 5 คน ได้สมคบกันวางแผนหลอกลวงผู้เสียหายโดยอาศัยอาชีพของผู้เสียหายเป็นสื่อในการติดต่อเป็นเหตุให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหายอันเป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงที่มีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป จำเลยทั้งสองจึงเป็นผู้กระทำความผิดฐานซ่องโจรตามฟ้อง การที่จำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้คดีอ้างว่าทราบว่าผู้เสียหายเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดิน จำเลยทั้งสองจึงไปพบผู้เสียหายที่บ้านเพื่อติดต่อขายที่ดินแล้วชวนไปเล่นการพนันนั้น เห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยรู้จักผู้เสียหายมาก่อน อีกทั้งเหตุที่ไปพบผู้เสียหายก็เพื่อติดต่อขายที่ดินแต่เหตุใดจำเลยทั้งสองจึงสามารถชวนผู้เสียหายไปเล่นการพนันได้ในวันเดียวกันจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบให้กระจ่างชัดประการต่อมาจำเลยทั้งสองอ้างว่าไม่เคยรู้จักคนที่เข้าร่วมเล่นด้วย ซึ่งมาจากกรุงเทพมหานครนั้น เห็นว่าคนเหล่านั้นเมื่อไม่รู้จักกันเหตุใดจึงเข้าร่วมเล่นการพนันด้วยกันได้ เพียงเท่านี้เห็นได้ชัดว่าข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองไร้ซึ่งเหตุผลไม่สามรถรับฟังเพื่อนำมาหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share