แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ได้ มีพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามพ.ศ. 2530 กำหนดให้ไม้ตะเคียน หินในป่าท้องที่ทุกจังหวัดเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรได้ ออกประกาศให้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอด เขตท้องที่ทุกจังหวัดดัง ปรากฏรายละเอียดตาม สำเนาประกาศท้ายฟ้อง พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาพ้นกำหนดเก้า สิบวันนับแต่วันประกาศแล้ว ในสำเนาประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องซึ่งถือ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องนั้น ปรากฏว่าประกาศดังกล่าวได้ ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว กรณีจึงเท่ากับว่าโจทก์ได้ บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าประกาศนั้นได้ มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษามาพ้นเก้า สิบวันนับแต่วันประกาศตาม มาตรา 47แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และเมื่อตาม ฟ้องของโจทก์ฟังได้ว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 ได้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาพ้นกำหนดเก้า สิบวันนับแต่วันประกาศแล้วพระราชกฤษฎีกาฉบับ ดังกล่าวย่อมมีผลใช้ บังคับได้ เป็นกฎหมายในขณะที่จำเลยกระทำความผิด แม้โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาพร้อมกับฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์แต่ประการใด.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2531 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองร่วมกันมีไม้ยางแปรรูปจำนวน 448 ชิ้น ปริมาตรรวม2.92 ลูกบาศก์เมตร และไม้ตะเคียนหินแปรรูปจำนวน 24 ชิ้นปริมาตรรวม 0.29 ลูกบาศก์เมตร รวมปริมาตรไม้ทั้งสองชนิด 3.21ลูกบาศก์เมตร อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไว้ในครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เหตุเกิดที่ตำบลเมืองปัก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา มีผู้นำเข้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยไม้แปรรูปดังกล่าวเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4,7, 48, 73, 74, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2518 มาตรา 19, 28 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2522มาตรา 9 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2525 มาตรา 4พระราชกฤษฎีกา กำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 มาตรา 4 ริบของกลางและจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 7, 48, 73, 74, 74 จัตวาที่แก้ไขแล้ว ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก คนละ 6เดือน ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะข้อ 2.1 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายส่วนข้ออื่นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงมีคำสั่งไม่รับ
ศาลฎีกาตรวจวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฏีกาของจำเลยทั้งสองซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับมาเพียงว่า ฟ้องของโจทก์สมบูรณ์หรือไม่โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า ประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรซึ่งกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษามาพ้นเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศแล้วตามมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ นอกจากนี้โจทก์ไม่ได้ส่งพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 ซึ่งกำหนดให้ไม้ตะเคียนหินเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. มาพร้อมกับฟ้องด้วย ฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ พิเคราะห์แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่า ได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 กำหนดให้ไม้ตะเคียนหินในป่าท้องที่ทุกจังหวัดเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรได้ออกประกาศให้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่ทุกจังหวัด ดังปรากฏรายละเอียดตามสำเนาประกาศท้ายฟ้อง พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศแล้ว ในสำเนาประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องนั้น ปรากฏว่าประกาศดังกล่าวได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตอนที่ 94 ลงวันที่ 13พฤศจิกายน 2499 กรณีจึงเท่ากับว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่าประกาศนั้นได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบิษามาพ้นเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศตามมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และเมื่อตามฟ้องของโจทก์ฟังได้ว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศแล้ว พระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับได้เป็นกฎหมายในขณะที่จำเลยทั้งสองกระทำความผิด แม้โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาพร้อมกับฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์แต่ประกานใด
พิพากษายืน.