คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2350/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เหตุที่จำเลยไล่โจทก์ออกจากงานเพราะโจทก์ได้กระทำผิดคดีอาญาถูกควบคุมตัวไม่สามารถทำงานให้จำเลยได้ และต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกโจทก์ในคดีดังกล่าว ดังนี้ เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้นับอายุงานต่อเนื่องเสมือนหนึ่งมิได้มีการเลิกจ้าง แต่โจทก์มีสิทธิขอให้นับอายุงานติดต่อตั้งแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป โดยไม่มีสิทธินำระยะเวลาตั้งแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันที่จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานมารวมด้วย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 49 นั้น ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน หรือให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายชดใช้แทนการที่ลูกจ้างจะได้รับค่าเสียหายจากนายจ้างจึงมีเพียงกรณีที่ศาลมิได้มีคำสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานประการเดียวเท่านั้น ดังนี้ เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะได้รับค่าเสียหายนับแต่วันที่โจทก์ยื่นฟ้องจนถึงวันที่จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานได้อีก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งอัตราค่าจ้าง สภาพการจ้างไม่ต่ำกว่าเดิมโดยนับอายุงานต่อจากเดิมพร้อมทั้งให้จำเลยจ่ายค่าจ้างหรือค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,270 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน หรือให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน13,620 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 2,270 บาทและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันเลิกจ้างจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์กระทำผิดวินัยฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่ อัตราค่าจ้าง และสภาพการจ้างไม่ต่ำกว่าเดิมโดยนับอายุงานต่อเนื่องกันเสมือนมิได้มีการเลิกจ้าง คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ถูกควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีจนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2525 จำเลยจึงได้มีคำสั่งพักงานโจทก์ และจนถึงวันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2528 เป็นเวลาประมาณ 3 ปี โจทก์ไม่ได้ทำงานให้แก่จำเลย การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานโดยนับอายุงานต่อเนื่องกันเสมือนมิได้มีการเลิกจ้างเป็นการไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าในระหว่างที่โจทก์ถูกควบคุมตัวดำเนินคดีอาญาตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2525 จนถึงปัจจุบัน โจทก์ไม่ได้ทำงานให้แก่จำเลยประกอบกับที่จำเลยมีคำสั่งที่ 63/2526 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2526ไล่โจทก์ออกจากงานก็เนื่องจากโจทก์ไปทำความผิดอาญา และศาลจังหวัดสมุทรปราการ ได้พิพากษาให้จำคุกโจทก์มีกำหนด 10 ปีอันเป็นเหตุให้จำเลยออกคำสั่งไล่โจทก์ออกจากงานดังกล่าวในขณะนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้นับอายุงานต่อเนื่องเสมือนหนึ่งมิได้มีการเลิกจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้นับอายุงานต่อเนื่องโดยให้รวมระยะเวลาตั้งแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันที่จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น แต่โจทก์มีสิทธิขอให้นับอายุงานติดต่อตั้งแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปโดยไม่มีสิทธินำระยะเวลาตั้งแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันที่จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานมารวมด้วยเท่านั้น ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อโจทก์มิได้กระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลยอันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามข้อบังคับเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าจ้างเป็นรายเดือนจากจำเลยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงานนั้นพิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 บัญญัติว่า “การพิจารณาคดีในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการเลิกจ้างลูกจ้างนั้นไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้าง ศาลแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ให้ศาลแรงงานกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้แทนโดยให้ศาลคำนึงถึงอายุของลูกจ้าง ระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง มูลเหตุแห่งการเลิกจ้าง และเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประกอบการพิจารณา” ศาลฎีกาเห็นว่า ความในมาตรานี้เป็นบทคุ้มครองลูกจ้างเพื่อมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่เป็นธรรม หากมีการเลิกจ้างลูกจ้างไม่เป็นธรรมแล้ว ศาลแรงงานมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานโดยลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างในอัตราที่เคยได้รับอยู่ในขณะที่มีการเลิกจ้างประการหนึ่ง แต่ถ้าศาลแรงงานพิจารณาแล้วเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจที่จะทำงานร่วมกันต่อไปได้ด้วยดีแล้ว ก็มีอำนาจที่จะสั่งไม่ให้นายจ้างรับลูกจ้างนั้นกลับเข้าทำงาน แต่ต้องให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนหนึ่งชดเชยให้แก่ลูกจ้างแทน โดยมีหลักเกณฑ์การคำนวณไว้ว่าจะควรให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวนเท่าใดการที่ลูกจ้างจะได้รับค่าเสียหายจากนายจ้างจึงมีเพียงกรณีที่ศาลแรงงานมิได้มีคำสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานเพียงประการเดียวเท่านั้นกฎหมายหาได้กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าเสียหายหรือค่าจ้างตั้งแต่วันที่ลูกจ้างยื่นฟ้องคดี ขอให้นายจ้างรับกลับเข้าทำงานจนถึงวันที่นายจ้างรับกลับเข้าทำงานไม่ ดังนั้น เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่อัตราค่าจ้างและสภาพการจ้างไม่ต่ำกว่าเดิมขณะที่มีคำสั่งเลิกจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะได้รับค่าเสียหายหรือค่าจ้างนับแต่วันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงานอีกได้ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาในข้อนี้มานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นับอายุงานใหม่ของโจทก์ติดต่อกับอายุงานที่คำนวณถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2525 ซึ่งเป็นวันก่อนวันเลิกจ้างโจทก์เป็นต้นไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share