แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายฝากเงินไว้กับจำเลย ต่อมาขอคืน จำเลยคืนให้ไม่ได้อ้างว่าเอาไปใช้หมดแล้ว หลังจากนั้นผู้เสียหายไปทวงอีกหลายครั้ง จำเลยขอผัดผ่อน และไม่เคยปฏิเสธ ว่าไม่ได้รับฝากเงิน จนกระทั่งผู้เสียหายไปแจ้งความ พนักงานสอบสวน เรียกไปสอบถาม จำเลยจึงปฏิเสธว่าไม่เคยรับฝากเงินจากผู้เสียหาย ดังนี้ แสดงว่าขณะที่จำเลยเอาเงินไปใช้หมด. จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตยักยอกเงินนั้น จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง การที่จำเลยปฏิเสธต่อพนักงานสอบสวนในตอนหลัง ไม่ทำให้จำเลยมีความผิดฐานทุจริตยักยอกเงินที่รับฝาก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2512 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2512 จำเลยได้รับฝากเงินไว้จากนางแอม โฮ รวม 2 ครั้ง เป็นเงิน 14,600 บาท ต่อมานางแอม โฮ ขอเงินคืน จำเลยปฏิเสธว่าไม่เคยรับฝากเงิน ทั้งนี้ โดยระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2512 ถึงวันที่ 22 เมษายน 2513 ตลอดมา จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาเงินจำนวนนั้นเป็นประโยชน์ส่วนตัว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวนที่กล่าวแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
นางแอม โฮ ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ให้จำคุก 3 เดือน และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 14,600 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นการผิดสัญญาฝากเงินในทางแพ่งพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นางแอม โฮ ผู้เสียหายฝากเงินไว้กับจำเลยรวม 2 ครั้ง เป็นเงิน 14,600 บาท ไม่ได้ทำหลักฐานการฝากกันไว้ ต่อมานางแอม โฮ ทวงเงินที่ฝากคืน จำเลยว่าใช้เงินไปหมดแล้วไม่มีเงินคืนให้ นางแอม โฮ ทวงอีกหลายครั้ง จำเลยขอผัดผ่อนนางแอม โฮ จึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจตรีสัทธรรม ร้อยตำรวจตรีสัจธรรมเรียกจำเลยไปสอบถาม จำเลยปฏิเสธว่าไม่เคยรับฝากเงินจากนางแอม โฮ และวินิจฉัยว่า ในเรื่องฝากเงินนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 ได้บัญญัติไว้เป็นใจความว่าผู้รับฝากไม่พึงต้องคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกับที่ฝาก แต่จะต้องใช้เงินให้ครบจำนวนผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ หากแต่ต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น แม้ว่าเงินที่ฝากจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็จำต้องคืนเป็นจำนวนดังว่านั้น กฎหมายดังกล่าวมานี้แสดงว่าผู้รับฝากเงินมีสิทธิเอาเงินที่ฝากไปใช้ได้โดยมีหน้าที่ต้องคืนเงินให้ครบจำนวน และตามกำผู้เสียหายรับว่าครั้งแรกได้ไปทวงเงินจากจำเลย จำเลยว่าเอาเงินไปใช้หมดแล้ว หลังจากนั้นผู้เสียหายไปทวงเงินจากจำเลยหลายครั้ง แต่จำเลยขอผัดผ่อน และไม่เคยปฏิเสธว่าไม่ได้รับฝาก จนกระทั่งผู้เสียหายไปแจ้งความแล้วร้อยตำรวจตรีสัทธรรมเรียกจำเลยไปสอบถาม จำเลยจึงปฏิเสธว่าไม่เคยรับฝากเงินจากผู้เสียหาย ดังนี้ แสดงว่า ขณะที่จำเลยเอาเงินไปใช้หมด จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตยักยอกเงินนั้น เพราะจำเลยได้ขอผัดผ่อนการชำระเงินอยู่ จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง การที่จำเลยปฏิเสธในชั้นสอบสวนในภายหลังว่าไม่เคยรับฝากเงินกับผู้เสียหายไม่ทำให้จำเลยมีความผิดฐานทุจริตยักยอกเงินที่รับฝาก ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน