คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำแถลงไปยังสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาคมีข้อความว่าศาลจดรายงานกระบวนพิจารณาไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่พูดกันในขณะจดรายงานฯ เป็นการช่วยเหลือฝ่ายจำเลยซึ่งมีอิทธิพล ทำให้โจทก์เสียเปรียบในเชิงคดีและเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์ในการดำเนินกระบวนพิจารณา ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยคัดข้อความดังกล่าวมาในฟ้องอุทธรณ์ด้วย ข้อความดังกล่าวนี้กล่าวหาว่าศาลไม่เป็นธรรมจึงถือได้ว่าเป็นข้อความที่มุ่งกล่าวเสียดสีศาล
แม้ข้อความที่กล่าวเสียดสีศาลจะเป็นข้อความซึ่งโจทก์คัดมาจากคำแถลงของโจทก์และหาใช่ถ้อยคำที่โจทก์ใช้ในอุทธรณ์ก็ตาม แต่การที่โจทก์ยกมากล่าวไว้ในอุทธรณ์โดยไม่จำเป็น จึงเป็นการแสดงเจตนาว่าโจทก์มุ่งกล่าวให้เห็นในคำฟ้องอุทธรณ์ด้วย
แม้ตัวโจทก์จะเป็นผู้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลก็ตาม แต่ทนายโจทก์ก็เป็นผู้เรียงข้อความที่เสียดสีเหล่านั้น ผลแห่งการยื่นจึงถือได้เท่ากับว่าทนายโจทก์เป็นผู้ยื่นเองด้วย ฉะนั้น ตัวโจทก์และทนายโจทก์ย่อมมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในฐานที่ประพฤติตนไม่เรียบร้อยอย่างหนึ่งในบริเวณศาล

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากในชั้นเดิมโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานว่าบังอาจแสดงอำนาจปฏิบัติหน้าที่ในทางมิชอบ โดยจับกุมตัวโจทก์ ห้ามมิให้โจทก์ใช้เครื่องจักรประกอบกิจการสับไม้และแกล้งทำการสอบสวนหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ทั้งที่รู้ว่าไม่ได้กระทำผิด ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงินแก่โจทก์

จำเลยให้การปฏิเสธว่า มิได้กระทำการอันเป็นการละเมิดตามที่กล่าวหา

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ โดยตัวโจทก์เป็นผู้ลงนามในคำฟ้องอุทธรณ์ ทนายโจทก์เป็นผู้ลงนามในช่องผู้เรียงคำฟ้องอุทธรณ์ และตัวโจทก์เป็นผู้นำคำฟ้องอุทธรณ์มายื่นต่อศาลชั้นต้น ทนายโจทก์ไม่ได้นำมายื่นเอง

ศาลชั้นต้นสั่งว่า ในคำฟ้องอุทธรณ์มีข้อความที่กล่าวก้าวร้าวเสียดสีศาล จึงเรียกโจทก์มาสอบถามในวันนั้น แล้วสั่งให้โจทก์แก้ไขข้อความในส่วนที่ว่าก้าวร้าวนั้นเสีย หากโจทก์จะยื่นโดยใช้ข้อความเดิม ก็ให้ทำคำแถลงยืนยันมาเป็นลายลักษณ์อักษร

โจทก์ยื่นคำแถลงในวันนั้นว่ายืนยันยื่นอุทธรณ์ตามที่ได้ยื่นไว้แล้ว

ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ และต่อมาสั่งว่าโจทก์กับทนายโจทก์ละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 31(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้จำคุกโจทก์และทนายโจทก์คนละ 2 เดือน

โจทก์และทนายโจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และทนายโจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความในฟ้องอุทธรณ์ที่กล่าวว่า “…การกระทำของศาลเป็นการไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนั้น เพื่อช่วยฝ่ายจำเลยซึ่งมีอิทธิพลทำให้คดีของโจทก์เสียเปรียบในเชิงคดี และเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรมแก่โจทก์ในการดำเนินกระบวนพิจารณา ฯลฯ” นั้น เป็นการกล่าวหาว่าศาลกระทำการไม่เป็นธรรมช่วยเหลือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง แม้ข้อความข้างต้นจะเป็นข้อความซึ่งโจทก์คัดมาจากคำแถลงติดสำนวนของโจทก์ที่ยื่นไว้ยังสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาคก็ตาม แต่การที่โจทก์ยกมากล่าวไว้ในอุทธรณ์โดยไม่จำเป็น จึงเป็นการแสดงเจตนาว่าโจทก์มุ่งกล่าวไว้ให้เห็นในคำฟ้องอุทธรณ์ถือได้ว่าเป็นการมุ่งกล่าวเสียดสีศาล นอกจากนี้มีสำเนาคำร้องเรียนถึงคณะกรรมการตุลาการที่แนบมาท้ายอุทธรณ์ อันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องอุทธรณ์นั้น ก็มีข้อความว่า ศาลเกรงกลัวอิทธิพลของจำเลยและกระทำการโดยมิชอบด้วยทำนองคลองธรรม ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความที่กล่าวไว้เหล่านั้นเป็นข้อความที่เสียดสีศาล เมื่อเอามายื่นต่อศาล ถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 31(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้ตัวโจทก์จะเป็นผู้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ แต่ทนายโจทก์ก็เป็นผู้เรียงข้อความที่เสียดสีเหล่านั้น ผลแห่งการยื่นจึงถือได้ว่าเท่ากับว่าทนายโจทก์เป็นผู้ยื่นตัวเองด้วย ทั้งทนายโจทก์และตัวโจทก์ย่อมมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในฐานที่ประพฤติตนไม่เรียบร้อยอย่างหนึ่งในบริเวณศาลแต่ศาลเห็นสมควรลงโทษเพียงปรับ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ปรับโจทก์และทนายโจทก์คนละ 200 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

Share