แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้นำบุคคลภายนอกทำสัญญากับเจ้าหนี้ยอมใช้หนี้แทนลูกหนี้ แต่ลูกหนึ้ยังสงวนสิทธิที่จะ+ลูกหนี้ได้อยู่ตามเดิมสัญญาลงนามบุคคลภายนอกและลูหนี้เป็นผู้ให้สัญญาเจ้าหนี้จึงคืนสัญญา+ให้ไปดังนี้ สัญญา+นี้หาใช่เป็นสัญญา+หนี้โดยเปลี่ยนตัว+หนี้ไม่เป็นเพียงสัญญาเพิ่มบุคคลภายนอกเข้าในลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้+เท่านั้น
ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยข้อกฎหมาย เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นตัดสินนั้นไม่ชอบ และศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาหรือวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญในประเด็นก็มีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาข้อเท็จจริงเช่นว่านั้นแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความได้
ย่อยาว
เดิมจำเลยกับบุคคลอื่นเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๔๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์จำเลยและลูกหนี้พร้อมทั้ง จ.ได้ทำสัญญาขึ้นฉะบับหนึ่งมีในความว่า จ.ยอมรับใช้หนี้แทนจำเลยกับพวก ถ้าผิดสัญญายอมให้โจทก์ฟ้องได้ทันทีแต่ความในข้อ ๘ แห่งสัญญานั้นมีว่า โจทก์ยังสงวนสิทธิที่จะฟ้องเรียกหนี้สินตลอดทั้งดอกเบี้ย และค่าเสียหายจากจำเลยได้ด้วยหนังสือสัญญาลงนาม จ.จำเลยและลูกหนี้อีกผู้หนึ่งเป็นผู้ให้สัญญา โจทก์เป็นผู้รับสัญญาและได้คืนสัญญาเดิมให้ลูกหนี้ไป บัดนี้โจทก์มาฟ้องว่า จ.ไม่ชำระหนี้ตามสัญญา จึงขอให้บังคับจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าสัญญาฉะบับใหม่เป็นสัญญาแปลงหนี้ไม่มีข้อความใดผูกพันจำเลยให้ต้องชำระหนี้คงผูกพัน จ.ผู้เดียวจึงพิพากษาให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาให้สัญญานี้ผูกพันจำเลยด้วย สัญญานี้เท่ากับเพิ่ม จ.เข้าเป็นลูกหนี้อีกผู้หนึ่งเท่านั้น จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งยังมิได้วินิจฉัยมาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินว่าสัญญารายพิพาทพอที่จะถือว่าจำเลยตกลงยอมรับใช้หนี้รายนี้ให้โจทก์ร่วมกันกับ จ.สัญญาฉะบับนี้จึงผูกพันจำเลย การที่โจทก์คืนสัญญาเดิมให้ไปแสดงให้เห็นว่า เจตนาอันแท้จริงของคู่สัญญาประสงค์ให้สัญญานี้ผูกพันจำเลยด้วย สัญญาฉะบับที่เปลี่ยนใหม่เท่ากับเพิ่ม จ.เข้าเป็นลูกหนี้อีกผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ดังจำเลยฎีกามาไม่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดด้วยนั้นชอบแล้ว ส่วนข้อฎีกาที่ว่าที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลช้นต้นพิจารณาปัญหาข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาใหม่นั้น ไม่มีกฎหมายกำหนดให้ศาลอุทธรณ์ตัดสินดังนั้น เห็นว่าเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นยกขึ้นตัดสินไม่ชอบ และศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาหรือวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญในประเด็น ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจทำเช่นนั้นได้ ตามประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.๒๔๐(๓) และ ๒๔๒(๓) จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์