คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2349/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์โดยทราบว่าโจทก์จะซื้อที่พิพาทไปเพื่อสร้างโรงงาน เมื่อจำเลยทราบว่าที่พิพาทอยู่ในเขตประกาศของกระทรวงมหาดไทยเรื่องห้ามก่อสร้างอาคาร แต่ปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงถือว่าโจทก์แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่จะซื้อซึ่งเป็นสาระสำคัญ สัญญาจะซื้อขายเป็นโมฆียะ เมื่อโจทก์บอกล้างแล้วสัญญาจะซื้อขายจึงเป็นโมฆะมาแต่แรก คู่สัญญาต้องกลับคืนยังฐานะเดิม จำเลยต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินจากจำเลย จำเลยทราบดีอยู่แล้วก่อนวันทำสัญญาว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้างอาคารและโจทก์จะซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงงานแต่จำเลยปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าวซึ่งหากจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์ก็จะไม่ซื้อที่ดินจากจำเลย การแสดงเจตนาของโจทก์เป็นการแสดงเจตนาด้วยการสำคัญผิดในคุณสมบัติของที่ดินอันเป็นสาระสำคัญ สัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวจึงเป็นโมฆียะกรรม โจทก์ได้บอกล้างสัญญาจะซื้อขายต่อจำเลยและมีหนังสือเรียกมัดจำคืนจากจำเลยแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ๒๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยทราบว่าจะก่อสร้างโรงงาน จำเลยไม่ทราบว่ามีประกาศกระทรวงมหาดไทยห้ามปลูกสร้างในเขตท้องที่ที่พิพาทตั้งอยู่ จำเลยมิได้จงใจปิดบังหลอกลวงเกี่ยวกับที่พิพาทในวันทำสัญญาแต่อย่างไร โจทก์ผิดนัดไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท อ้างว่าได้บอกล้างสัญญากับผู้จะขายแล้ว ซึ่งความจริงโจทก์มิได้บอกล้างสัญญาต่อจำเลยถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทจากจำเลยตามกำหนดทำให้จำเลยเสียหาย ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ใช้ค่าเสียหาย๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ได้บอกล้างสัญญาจะซื้อขายแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ๒๕๐,๐๐๐บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทราบแล้วว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทเพื่อสร้างโรงงานและจำเลยทราบว่าที่พิพาทอยู่ในเขตประกาศของกระทรวงมหาดไทยเรื่องห้ามก่อสร้างอาคารที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาที่ว่าโจทก์แสดงเจตนาซื้อที่ดินพิพาทเพื่อจะก่อสร้างโรงงาน แต่ที่พิพาทไม่สามารถนำไปก่อสร้างโรงงานได้ ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของที่ดินที่จะซื้อขาย ซึ่งตามปกติย่อมนับว่าเป็นสาระสำคัญหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยไม่ชอบ เพราะไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลพึงรู้เองหรือเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน นั้นเห็นว่าปัญหานี้ความจริงก็มีความหมายรวมอยู่ในปัญหาที่จำเลยฎีกาข้อที่หนึ่งและข้อที่สองอยู่ในตัวนั่นเอง ศาลจึงหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า ศาลล่างทั้งสองมิได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่านิติกรรมจะซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยอันเกิดแต่การแสดงเจตนาวิปริตของโจทก์ มีผลให้นิติกรรมเป็นโมฆียะชอบที่จะบอกล้างได้หรือไม่ อย่างไรนั้นเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้แล้วว่านิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะ เพราะโจทก์สำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่จะซื้อและถือว่าโจทก์บอกล้างแล้ว เนื่องจากจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ สัญญาจะซื้อขายที่พิพาทเป็นโมฆะมาแต่แรก คู่สัญญาต้องกลับคืนยังฐานะเดิม จำเลยต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยจึงเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยบทกฎหมายแล้ว และผลแห่งคำวินิจฉัยนี้เองทำให้ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาที่ว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมหรือไม่ และจำเลยเสียหายหรือไม่เพียงใดอีกต่อไปเพราะเมื่อคู่สัญญาต้องกลับคืนยังฐานะเดิมแล้ว จำเลยก็ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายใดใดจากโจทก์ได้
ส่วนที่จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อสุดท้ายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสัญญาจะซื้อขายรายนี้ ผู้จะซื้อคือบริษัททิปโก้อีมัลชั่นจำกัด โจทก์เป็นเพียงตัวแทนนั้นเห็นว่าปรากฏตามรายงานการประชุมของบริษัทดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.๒ ว่าให้โจทก์ซื้อที่พิพาทในนามของโจทก์ มิได้ซื้อในฐานะตัวแทนบริษัท ฯ โจทก์จึงมีอำนาจเต็มในการจัดการที่พิพาทรวมตลอดทั้งการฟ้องคดีนี้ด้วย
พิพากษายืน.

Share