คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2347/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของที่ดินให้ดำเนินการจัดสรรจำหน่ายที่ดิน จำเลยจึงมีอำนาจนำที่ดินดังกล่าวออกให้เช่าซื้อและมีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อได้ โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อสัญญาย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์จะมาฟ้องขอเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วคืนโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมิใช่เจ้าของที่ดินตามสัญญาหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2524 โจทก์ตกลงเช่าซื้อที่ดินจากจำเลย 3 แปลงราคา 75,000 บาท โดยจำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของจำเลยรับเงินจำนวน 45,000 บาท จากโจทก์ไปแล้ว ต่อมาโจทก์ทราบว่าที่ดินที่โจทก์เช่าซื้อนั้นไม่ใช่ที่ดินของจำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการฉ้อโกงโจทก์ สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะโจทก์ขอเงินคืนจากจำเลยแล้ว จำเลยเพิกเฉยจึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงิน 45,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี
จำเลยให้การว่าที่ดินตามสัญญาเช่าซื้อเป็นของนายคำฮ้อยแก้วกัลยา ซึ่งนายคำฮ้อยทำสัญญาให้จำเลยเป็นผู้นำที่ดินออกแบ่งขายแก่บุคคลภายนอกได้ซึ่งโจทก์ก็ทราบ จำเลยไม่ใช่ฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและไม่สมบูรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงิน 45,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2524 จำเลยเสนอขายที่ดินจัดสรรซึ่งเป็นของนายคำฮ้อย แก้วกัลยา อยู่ตำบลบ้านยาง อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ให้โจทก์โจทก์ตกลงซื้อแปลงหมายเลข 13 ถึง 15 ตามแผนผังที่ดินจัดสรรเอกสารหมาย จ.1 ในราคาแปลงละ 25,000 บาท รวมราคา75,000 บาท และทำสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.4 ตามลำดับโจทก์สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาภูเขียวจำนวนเงิน45,000 บาท ให้จำเลย จำเลยได้รับเงินแล้วตามเอกสารหมาย จ.5 ต่อมาโจทก์ขอเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วคืนจากจำเลย จำเลยไม่คืนคดีมีปัญหาว่าจำเลยผิดสัญญา ต้องคืนเงินให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ได้ความจากโจทก์ว่าก่อนทำสัญญาเช่าซื้อจำเลยบอกโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยเอง และทั้งบริเวณที่พิพาทจะจัดทำตลาดสดและสถานีจอดรถโดยสาร ต่อมาจำเลยไม่ได้ดำเนินการจัดทำตลาดสดและสถานีรถโดยสารดังกล่าว ทั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม2527 เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ เกษตรสมบูรณ์บอกโจทก์ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของนายคำฮ้อย แก้วกัลยา โจทก์มีนายสันติชัยอภิรักษ์สุนทรภรณ์ พี่ชายเบิกความสนับสนุนว่านายสันติชัยเป็นเพื่อนจำเลยแต่ไม่ทราบว่าจำเลยจะจัดสรรที่ดินโดยมีสัญญากับนายคำฮ้อยหรือไม่ ฝ่ายจำเลยนำสืบอ้างว่า ก่อนโจทก์จะทำสัญญาเช่าซื้อ จำเลยบอกโจทก์แล้วว่า ที่ดินเป็นของนายคำฮ้อยโจทก์ได้ไปสอบถามนายคำฮ้อยและได้ไปดูที่พิพาท จำเลยได้รับมอบอำนาจจากนายคำฮ้อยให้จัดสรรจำหน่ายที่พิพาทได้ ตามเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งนายสมาน ฤาชา ปลัดอำเภอเกษตรสมบูรณ์เป็นพยาน จำเลยมีนายคำฮ้อยและนายสมานเป็นพยานเบิกความสนับสนุนสอดคล้องกัน เมื่อพิเคราะห์ข้อความในข้อ 3 ของเอกสารหมาย ล.1 ปรากฏใจความว่าการลงทุนทุกกรณีในการจัดรูปที่ดินและดำเนินงานเพื่อจัดสรรจำหน่ายที่ดินตามสัญญานี้ นายคำฮ้อย แก้วกัลยา จะไม่เกี่ยวข้องทุกกรณี ให้ถือว่าอำนาจสิทธิขาดการดำเนินงานจนกระทั่งการจำหน่ายที่ดินเป็นอำนาจของนายทรงชัย อินทรารักษ์ (จำเลย) แต่เพียงผู้เดียว’ น่าเชื่อว่านายคำฮ้อยเจ้าของที่พิพาทมอบให้จำเลยมีอำนาจดำเนินงานจัดสรรจำหน่ายที่พิพาทจริง เมื่อคำนึงถึงการที่โจทก์รับว่าโจทก์และพี่ชายโจทก์รู้จักจำเลยและนายคำฮ้อยเจ้าของที่พิพาทดีก่อนที่โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.2ถึง จ.4 และโจทก์รับว่าที่พิพาทอยู่ห่างบ้านโจทก์ประมาณ 1กิโลเมตร ก่อนโจทก์ทำสัญญาก็มีการย้ายตลาดสดจากที่ราชพัสดุเดิมมาบริเวณที่พิพาทแล้วบางส่วน นอกจากนั้นปรากฏว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อเมื่อพ.ศ.2524 แต่เพิ่งเกิดพิพาทกันเมื่อพ.ศ.2527 น่าเชื่อตามคำพยานจำเลยว่าโจทก์ทราบดีว่าที่พิพาทเป็นของนายคำฮ้อยให้จำเลยดำเนินการจำหน่ายโดยวิธีจัดสรรให้เช่าซื้อศาลฎีกาเห็นว่าการที่นายคำฮ้อยเจ้าของที่พิพาท ทำหลักฐานเป็นหนังสือตามเอกสารหมาย ล.1 ให้อำนาจจำเลยดำเนินการจัดสรรจำหน่ายที่ดิน จำเลยมีอำนาจนำที่พิพาทออกให้โจทก์เช่าซื้อและมีอำนาจลงนามในสัญญาเช่าซื้อหมาย จ.1 ถึง จ.4 ได้โดยไม่จำต้องแสดงหลักฐานการรับมอบอำนาจจากนายคำฮ้อยให้โจทก์ดูแต่อย่างไรสัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.4 มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าซื้อทั้งจำเลยยืนยันว่าพร้อมที่จะโอนที่พิพาทให้โจทก์ถ้าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วน โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระให้จำเลยไปแล้วจำนวน 45,000 บาท คืนจากจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์.

Share