แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลชั้นต้นจดรายงานไว้ว่า ก่อนสืบพยาน โจทก์ยื่นขอระบุพยานเพิ่มเติม ศาลสั่งอนุญาตและจ่ายสำเนาให้จำเลย โจทก์จะนำพยานคนที่ระบุเพิ่มเติมเข้าสืบ แต่จำเลยแถลงคัดค้านขออย่าให้ศาลอนุญาตให้โจทก์นำพยานปากนี้เข้าสืบ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้โจทก์จำพยานดังกล่าวเข้าสืบได้ ดังนี้ ถือว่าจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมไว้แล้ว จึงมีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นได้
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดหรือผู้ถือ เมื่อโจทก์มีเช็คพิพาทไว้ในความครอบครอง โดย น. ได้นำมาขอแลกเงินจากโจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904
ก่อนพยานเบิกความ ย่อมต้องสาบานตนว่าจะให้การตามสัตย์จริงและตอบคำถามของศาลในเรื่องนามของตนแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 112, 116 เมื่อศาลชั้นต้นเขียนชื่อพยานว่า จ. จึงน่าเชื่อว่าพยานผู้นั้นคือ จ. จริง แต่เหตุใดพยานจึงเซ็นชื่อว่า พ. นั้น เมื่อไม่มีข้อเท็จจริงบ่งชัดว่าเป็นคนละคนกัน จ. ก็จะฟังว่ามิใช่ จ. ยังไม่ถนัด เพราะพยานอาจมีชื่ออีกชื่อหนึ่งก็ได้ เพียงเหตุนี้อย่างเดียวยังไม่พอจะทำให้ไม่รับฟังคำเบิกความของ จ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้สลักหลังให้รับผิดใช้เงินตามเช็คจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยไม่เคยสลักหลังรับรองการสั่งจ่ายเงินดังโจทก์ฟ้อง ลายมือชื่อด้านหลังเช็คที่โจทก์ฟ้องเป็นลายมือปลอม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ลายเซ็นสลักหลังเช็คพิพาทเป็นลายเซ็นของจำเลยจริง
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยฎีกาประการแรกว่าจำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๑๗ ไม่ชอบ เพราะขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยมิได้โต้แย้งไว้จึงอุทธรณ์มิได้ ซึ่งจำเลยเห็นว่าจำเลยได้โต้แย้งไว้แล้ว
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ปัญหานี้แล้ว เห็นว่าตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๑๗ ศาลชั้นต้นจดไว้ว่า “ฯลฯ ก่อนสืบพยาน โจทก์ยื่นขอระบุพยานเพิ่มเติม ศาลสั่งอนุญาต และจ่ายสำเนาให้จำเลย โจทก์จะนำพยานคนที่ระบุเพิ่มเติมคือ นางสมจิตรเข้าทำการสืบ แต่ฝ่ายจำเลยแถลงคัดค้านว่า ฯลฯ จึงขอคัดค้านอย่าให้ศาลอนุญาตให้โจทก์นำพยานปากนี้เข้าสืบ ฯลฯ” ศาลชั้นต้นเมื่อได้พิเคราะห์แล้วก็อนุญาตให้โจทก์นำพยานดังกล่าวเข้าสืบได้ ตามรายงานกระบวนพิจารณาเช่นว่านี้ ถือว่าจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมไว้แล้ว และเมื่อศาลชั้นต้นยังคงสั่งยืนยันตามเดิม จำเลยก็หาจำต้องโต้แย้งต่อไปอีกไม่ จำเลยจึงมีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นว่านั้นได้ และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียว โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ใหม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๘ วรรค ๒ โจทก์มีสิทธิ์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมได้ก่อนเสร็จการสืบพยานหลักฐานของโจทก์ ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน ปรากฏว่าศาลนัดสืบพยานโจทก์พร้อมกับพยานจำเลยในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๑๗ และโจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมในวันนั้นเองก่อนที่จะลงมือสืบพยานโจทก์ ฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมได้จึงชอบแล้ว การที่โจทก์นำนางสมจิตรพยานผู้ที่ได้ระบุเพิ่มเติมเข้าสืบในวันนั้นจึงไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบอย่างใด
จำเลยฎีกาต่อไปว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดหรือผู้ถือ เมื่อโจทก์มีเช็คพิพาทไว้ในครอบครองในฐานะผู้รับเงิน เพราะโจทก์นำสืบได้ว่านางจำเนียรได้นำเช็คพิพาทไปขอแลกเงินจากโจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๐๔ แล้ว จึงมีอำนาจฟ้อง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า พยานที่เบิกความในนามนางจำเนียรได้ลงชื่อว่า พิมพรรณ ถือมิได้ว่าเป็นคำให้การของนางจำเนียร จึงไม่ควรรับฟังนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่พยานผู้นี้เบิกความ ย่อมจะต้องสาบานตนว่าจะให้การตามสัตย์จริงและตอบคำถามของศาลในเรื่องนามของตนแล้ว ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๒๒ และ ๑๑๖ เมื่อศาลชั้นต้นเขียนชื่อพยานว่านางจำเนียร ก็น่าเชื่อว่าพยานผู้นั้นคือนางจำเนียรจริง แต่เหตุใดพยานจึงเซ็นชื่อว่า พิมพรรณ นั้น เมื่อไม่มีข้อเท็จจริงบ่งชัดว่าเป็นคนละคนกับนางจำเนียร ก็จะฟังว่าพยานผู้นั้นมิใช่นางจำเนียรยังไม่ถนัด เพราะพยานอาจมีชื่ออีกชื่อหนึ่งดังที่เซ็นชื่อไว้ก็ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า เพียงเหตุนี้อย่างเดียวยังไม่พอที่จะทำให้ไม่รับฟังคำเบิกความของนางจำเนียรเสียทีเดียว
พิพากษายืน.