คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าจากเจ้าของเดิมก่อนโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทและเมื่อโจทก์รับโอนที่พิพาทมาแล้ว ก็ยังให้จำเลยเช่าต่อมา แล้วโจทก์บอกเลิกการเช่า จำเลยไม่ยอมออกไปการที่จำเลยยังคงอยู่ในที่พิพาทไม่ยอมออกไป ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์และยักย้ายหรือทำลายเครื่องหมายเขต โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทำสัญญาเช่ากันโจทก์หรือรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจำเลยเพิกเฉย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362,363,365 และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์กับให้ใช้ค่าเสียหาย

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนอาญาคงรับฟ้องเฉพาะคดีส่วนแพ่ง

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ประทับฟ้องคดีส่วนอาญา

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุก ขอให้ประทับฟ้อง

มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์ว่า เมื่อจำเลยฝ่าฝืนสัญญาเช่าที่ดินตามฟ้องต่อเจ้าของและต่อโจทก์ผู้รับโอนที่พิพาทมา และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาต่อจำเลยแล้ว จำเลยไม่ยอมออกไป การในที่พิพาทในระยะต่อมา จะถือว่าจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จะเป็นความผิดฐานบุกรุกตามบทมาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยนั้น ต้องเป็นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้น หรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าจากเจ้าของเดิมก่อนโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทมา และเมื่อโจทก์รับโอนที่พิพาทมาแล้ว โจทก์ยังให้จำเลยเช่าต่อมาหาใช่จำเลยเพิ่งเข้าไปครอบครองที่พิพาทในวันเวลาที่โจทก์ฟ้องไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามฟ้องของโจทก์

พิพากษายืน

Share