แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ซึ่งมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินแปลงใด ย่อมมีสิทธิครอบครองที่งอกริมตลิ่งของที่ดินแปลงนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1308
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่งอกริมตลิ่งต่อจากที่ดินของนายชลอตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 13 ออกให้ ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองสงขลา ภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ โดยนายชลอได้ยกที่ดินที่งอกนี้ให้แก่นางฝาติมะมารดาโจทก์ ต่อมานางฝาติมะยกที่ดินให้โจทก์ นางฝาติมะกับโจทก์ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ทำรั้วกั้นแนวเขตไว้ เมื่อวันที่ 14 กันยายน2519 และวันต่อ ๆ มา จำเลยกับบริวารได้บุกรุกรื้อรั้วที่โจทก์สร้างไว้เข้าเก็บมะพร้าว ก่อกำแพงหินกันดินพังในที่ดินของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ที่งอกริมตลิ่ง เป็นที่น้ำทะเลท่วมถึง โจทก์ไม่มีสิทธิในที่ดิน และไม่เคยครอบครองหรือทำประโยชน์ โจทก์แกล้งฟ้อง จำเลยที่รับซื้อที่ดินซึ่งนายชลอขายฝากไว้กับนางมาเรีย แล้วตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่นางมาเรีย โจทก์ไปขอซื้อคืน แต่จำเลยรับซื้อไว้ก่อน ทำให้โจทก์ไม่พอใจ นายชลอไม่เคยยกที่ดินให้นางฝาติมะและนางฝาติมะไม่เคยยกที่ดินให้โจทก์ โจทก์เพิ่งอ้างเป็นเจ้าของที่พิพาทเมื่อฟ้องคดีนี้ จำเลยได้เข้าทำประโยชน์โดยทำเขื่อนในที่พิพาท ที่ดินของจำเลยติดทะเลสาบสงขลาที่โจทก์อ้างว่านายชลอหรือนางฝาติมะยกที่ดินพิพาทให้ก็ไม่ได้จดทะเบียน จะนำมาเป็นข้อต่อสู้จำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ หากที่พิพาทเป็นที่งอกก็ตกเป็นของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายชลอได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์หมาย จ.1 ให้นางมาเรีย ที่ดินแปลงนี้ทิศใต้ติดทะเลสาบ เมื่อที่ดินหลุดเป็นสิทธิของนางมาเรียแล้ว นางมาเรียได้จดทะเบียนขายให้จำเลยทั้งแปลง คือที่ดินภายในเส้นสีน้ำเงินในแผนที่กลางซึ่งโจทก์จำเลยรับกันว่าเป็นที่ของจำเลย ที่ดินพิพาทภายในเส้นสีแดงในแผนที่กลางเป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1จำเลยซึ่งมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 จึงมีสิทธิครอบครองที่พิพาทด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308
พิพากษายืน