คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กับที่ 2 เป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 3 ได้สู่ขอโจทก์ให้เป็นภรรยาจำเลยที่ 3 ในการสู่ขอนั้นจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ได้ตกลงจะยกที่นา 10 ไร่ให้โจทก์ เป็นการตอบแทนการที่โจทก์ยอมสมรสกับจำเลยที่ 3 จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งใช้บังคับกันได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 295/2491)
หลังจากโจทก์กับจำเลยที่ 3 สมรสกันแล้ว จำเลยที่1 กับที่ 2 ได้ปลูกเรือนพิพาทโดยเจตนาจะยกให้โจทก์กับจำเลยที่ 3 แต่มิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ยกให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 เรือนพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 กับที่ 2 อยู่
จำเลยที่ 3 ด่าโจทก์และมารดาโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคายเตะและตบทำร้ายร่างกายโจทก์ หมิ่นประมาทโจทก์ว่ามีชู้บุตรที่เกิดก็ว่าเกิดกับชู้ หมิ่นประมาทมารดาโจทก์ว่าเป็นหญิงสำส่อนให้ชาวบ้านร่วมประเวณี อันเป็นการหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นบิดามารดาจำเลยที่ ๓ ได้สู่ขอโจทก์ให้เป็นภรรยาจำเลยที่ ๓ และได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยที่ ๑และที่ ๒ ให้ทองหมั้นหนัก ๕ บาท ให้เงินสินสอด ๓,๐๐๐ บาท ทำหนังสือแบ่งที่ดินยกให้โจทก์ ๑๐ ไร่ ราคา ๒๐,๐๐๐ บาท เป็นสินสอดและยกให้จำเลยที่ ๓อีก ๑๐ ไร่ ราคา ๒๐,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ ๓ ได้ย้ายมาปลูกเรือนอยู่ต่างหาก หลังจากนั้นจำเลยที่ ๓ ไม่ทำมาหากินเอาแต่เล่นการพนัน ดื่มสุราเมาอาละวาดด่าว่าโจทก์มีชู้ บุตรซึ่งเกิดด้วยกันก็ว่า เป็นบุตรชู้ ตบเตะโจทก์ และว่ามารดาโจทก์ได้เสียกับชายสำส่อน ขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยที่ ๓หย่าขาดจากกัน ถ้าจำเลยที่ ๓ ไม่อาจหย่าได้ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนเจตนาหย่าของจำเลยที่ ๓ ให้จำเลยที่ ๓ แบ่งเรือนให้โจทก์ครึ่งหนึ่งหรือเป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท ถ้าแบ่งกันไม่ได้ให้ขายเรือนแบ่งเงินกัน ให้จำเลยที่ ๓ แบ่งข้าวเปลือกในนาให้โจทก์ ๕๐๐ ถังหรือเป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไปแบ่งแยกที่ดินโอนให้โจทก์ ๑๐ ไร่เป็นสินสอด
จำเลยทั้งสามให้การว่า ไม่ได้ยกนา ๑๐ ไร่ให้โจทก์ นาดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ แต่ผู้เดียว สัญญายกให้ จำเลยที่ ๑ ลงชื่อ ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่ยอมลงชื่อสัญญาดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ปลูกเรือนให้โจทก์กับจำเลยที่ ๓ อยู่ในที่ดินของผู้อื่น โดยใช้เงินของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จำเลยที่ ๓ ไม่เคยทะเลาะดุด่าทุบตีโจทก์ ไม่เคยว่าโจทก์หรือมารดาโจทก์ตามฟ้อง โจทก์กับจำเลยที่ ๓ ทำนา ๔๐ ไร่เศษของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อย่างบุตรช่วยบิดามารดา จึงขอแบ่งไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยที่ ๓ หย่าขาดจากสามีภรรยากัน หากจำเลยที่ ๓ ไม่ยอมจดทะเบียนหย่า ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยที่ ๓ แบ่งเรือนให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยชำระเงินให้โจทก์ ๓,๐๐๐ บาท หากไม่ชำระให้เอาเรือนขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันคนละครึ่งให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จดทะเบียนแบ่งแยกนาให้โจทก์ ๑๐ ไร่ หากไม่กระทำ ให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ในข้อที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การ ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว จำเลยโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นภายในกำหนด๑ เดือน และยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด ๑ เดือนนับแต่ศาลชั้นต้นพิพากษาแต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นว่า การจะโต้แย้งคำสั่งให้มีสิทธิอุทธรณ์ได้นั้น จะต้องโต้แย้งก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี เว้นแต่จะไม่มีโอกาสโต้แย้งได้ก่อนหาใช่ให้ยื่นคำโต้แย้งภายในกำหนด ๑ เดือนดังจำเลยฎีกาไม่ ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๑๔ แล้วมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๑๔ จำเลยมีเวลาพอที่จะยื่นคำโต้แย้งได้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อไม่ยื่นคำโต้แย้งจึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อนี้
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า การสู่ขอโจทก์ให้สมรสกับจำเลยที่ ๓ นั้น จำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ ไม่ได้พูดยกนาให้โจทก์เมื่อโจทก์ยินยอมทำการสมรส การยกนาให้โจทก์จึงไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน เมื่อมิได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับไม่มีสิทธิเรียกร้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบ พฤติการณ์เห็นได้ว่าเป็นการตอบแทนที่โจทก์ยอมสมรสกับจำเลยที่ ๓ จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนใช้บังคับกันได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๙๕/๒๔๙๑
ที่จำเลยฎีกาว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โจทก์กับจำเลยที่ ๓ เป็นเพียงผู้อาศัยนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นผู้ออกเงินค่าปลูกเรือนพิพาท เรือนพิพาทซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ จำเลยทั้งสองเพียงแต่เจตนาจะยกให้โจทก์กับจำเลยที่ ๓เท่านั้น ไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ยกให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๒๕ เรือนพิพาทจึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อยู่
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า จำเลยที่ ๓ ได้ด่าโจทก์และมารดาโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เตะและตบทำร้ายร่างกายโจทก์ หมิ่นประมาทโจทก์ว่ามีชู้ บุตรที่เกิดก็ว่าเกิดกับชู้ หมิ่นประมาทมารดาโจทก์ว่าเป็นหญิงสำส่อนให้ชาวบ้านร่วมประเวณี อันเป็นการหมิ่นประมาทร้ายแรงการที่จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์และมารดาโจทก์อย่างร้ายแรงเช่นนี้ เป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า เรือนพิพาทไม่ใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์กับจำเลยที่ ๓ ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้แบ่งเรือนพิพาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share