คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2344/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมถูกกล่าวหาว่าร่วมกับพวกขว้างปารถยนต์โดยสารเสียหาย และถูกผู้โดยสารบาดเจ็บ ผู้ใหญ่บ้านจับกุมโจทก์ร่วมได้แล้วมอบตัวให้จำเลยซึ่งเป็นกำนันทั้งที่เกิดเหตุเมื่อเวลา 1 นาฬิกา การนำตัวโจทก์ร่วมไปส่งสถานีตำรวจในคืนนั้นไม่เป็นการปลอดภัย และบ้านของจำเลยไม่มีห้องขังหรือที่ควบคุมผู้ต้องหา จำเลยจึงนำโจทก์ร่วมไปใช้โซ่ล่ามขาไว้กับเสาชานเรือนจำเลย พอรุ่งเช้าก็ปล่อยตัวไปเมื่อมีผู้มาขอรับตัว ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นวิธีการควบคุมเท่าที่จำเป็นเพื่อมิให้หลบหนี เป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 86 ไม่เป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกจำเลยสำนวนแรกว่าจำเลยที่ ๑ และเรียกจำเลยสำนวนหลังว่าจำเลยที่ ๒
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยนี้ซึ่งเป็นกำนันตำบลแม่ข้าวต้มฯ ได้บังอาจหน่วงเหนี่ยวกักขังนายทอง โดยจำเลยนำตัวนายทองไปกักขังไว้บนบ้านจำเลย แล้วนำโซ่เหล็กล่ามขา นายทองติดกับเสาเรือน ทำให้นายทางปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๐
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยนี้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๓ ตำบลแม่ข้าวต้มฯ ได้บังอาจใช้กำลังกายชกต่อย เตะ และถีบทำร้ายร่างกายนายทองหลายที ถูกตามบริเวณร่างกายหลายแห่ง ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้นายทองได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
นายทองผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๐ จำคุก ๖ เดือน และปรับ ๒,๐๐๐ โทษจำคุกให้รอไว้ ๒ ปี จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑ ปรับ ๔๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา ๒๙,๓๐
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีสำนวนแรกข้อหาว่าจำเลยที่ ๑ หน่วยเหนี่ยวกักขังโจทก์ร่วมให้ปราศจากเสรีภาพนั้น เห็นว่าโจทก์ร่วมถูกกล่าวหาว่าได้ร่วมกับพวกขว้างปารถของนายฉุกเฉิน จันทร์ชุม และถูกผู้โดยสารบาดเจ็บ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านจับกุมโจทก์ร่วมได้ที่ข้างทางที่เกิดเหตุในเวลากระชั้นชัดกับที่รถถูกขว้างปา แล้วจำเลยที่ ๒ ได้มอบตัวโจทก์ร่วมให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นกำนันท้องที่เกิดเหตุไปขณะนั้นเป็นเวลา ๑ นาฬิกา ดึกสงัดแล้ว การที่จะให้จำเลยที่ ๑ พาโจทก์ร่วมไปส่งที่สถานีตำรวจทันทีในคืนเกิเหตุดังข้อฎีกาของโจทก์นั้น ย่อมไม่การปลอดภัยตัวโจทก์ร่วมและจำเลยที่ ๑ เพราะระหว่างทางพวกของผู้เสียหายที่ถูกขว้างปารถอาจจะลอบทำร้ายโจทก์ร่วมด้วยความโกรธเคืองก็ได้ หรือพวกของโจทก์อาจจะทำร้ายจำเลยที่ ๑ เพื่อแย่งชิงเอาตัวโจทก์ร่วมคืนไป ดังนั้น ที่จำเลยที่ ๑ พาโจทก์ร่วมไปควบคุมไว้ที่บ้านของจำเลย ๑ ซึ่งไม่ได้สร้างห้องขังหรือที่ควบคุมผู้ต้องหาไว้โดยเฉพาะ โดยจำเลยที่ ๑ โซ่โตขนาดนิ้วก้อยล่ามขาโจทก์ร่วมไว้กับเสาชานเรือนจำเลย เพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมหลบหนีในระหว่างที่จำเลยที่ ๑ พักผ่อนหลับนอน พอรุ่งเช้าจำเลยที่ ๑ ก็ปล่อยตัวโจทก์ร่วมไปเช่นนี้ เห็นได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ใช้วิธีการควบคุมโจทก์ร่วมเท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันมิให้หลบหนีเท่านั้นเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๖ การกระทำของจำเลยที่ ๑ ยังไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
(สำหรับข้อหาว่าจำเลยที่ ๒ ทำร้ายโจทก์ร่วมนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพยานโจทก์ยังมีความสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ ๒)
พิพากษายืน
(ไพโรจน์ ไวกาสี ประพจน์ ถิระวัฒน์ สมคิด มงคลชาติ)

Share