คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้เพราะไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่าง ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐานนำเงินตราไทยออกไปนอกราชอาณาจักรตาม พ.ร.บ. ศุลกากรฯ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักกว่า พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินฯซึ่งตามฟ้องของโจทก์ต้องด้วย พ.ร.บ. ศุลกากรฯ มาตรา 27โดยกฎหมายมาตรานี้บัญญัติเกี่ยวกับโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดว่า… สำหรับ ความผิด ครั้งหนึ่ง ๆ ให้ ปรับ เป็นเงิน สี่เท่า ราคาของ ซึ่ง ได้ รวม ค่าอากร ด้วย แล้ว หรือ จำคุกไม่เกิน สิบ ปี หรือ ทั้ง ปรับ ทั้ง จำ ดังนี้ เมื่อ ศาลชั้นต้นปรับ จำเลย เป็น เงิน สี่เท่า ของ จำนวน เงินตรา ที่ นำออกไปนอกราชอาณาจักร ตาม กฎหมาย ซึ่ง บทกฎหมาย ดังกล่าวมิได้ ให้ ดุลพินิจศาล ที่ จะ ใช้ อำนาจ ปรับ ให้ น้อย กว่า นั้นหรือ เป็น อย่างอื่น ได้ แล้ว ศาลฎีกา ย่อม ไม่อาจ ปรับ ให้น้อย ลง หรือ ลงโทษ สถานเบา กว่า ที่ ศาลชั้นต้น กำหนด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ. 2522 มาตรา 11, 62 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา27, 32 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16, 17พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 มาตรา 8 ทวิ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2527 มาตรา 3 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ริบของกลางจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับและจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 62 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา27, 32 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16, 17พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 มาตรา 8 ทวิ พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2527 มาตรา 3 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 เรียงกระทงลงโทษ ฐานออกไปและเข้ามาในราชอาณาจักรรวมสองกระทง ปรับกระทงละ 400 บาท ฐานนำเงินออกไป ปรับ 40,320 บาท รวมปรับ41,120 บาท จำเลยให้การรับสารภาพโดยดี ปรานีลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงปรับ 20,560 บาท ริบของกลางจ่ายเงินสินบนและรางวัลร้อยละ 30 กับ 15 ของค่าปรับแก่ผู้นำจับกับผู้จับตามลำดับสำหรับความผิดตามกฎหมายศุลกากร
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานนำเงินตราไทยออกไปนอกพระราชอาณาจักรเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 และพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา90 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดฐานออกไปและเข้ามาในราชอาณาจักรเพราะการข้ามฝั่งไทย-ลาวเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชาวบ้านตามหมู่บ้านชายแดนไทย-ลาว นั้นเห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลย ว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง จำเลยจะฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะไม่ใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่าง ต้อง ห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองไม่ควรลงโทษปรับจำเลยเป็น 4 เท่าของเงินที่จำเลยนำออกนอกราชอาณาจักร สมควรจะลงโทษเบากว่านี้นั้น เห็นว่า ในข้อหานี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักกว่าพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ. 2485 ซึ่งตามฟ้องของโจทก์ต้องด้วยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา27 โดยกฎหมายมาตรานี้บัญญัติเกี่ยวกับโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำผิดว่า..สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปีหรือทั้งปรับทั้งจำ คดีนี้ศาลชั้นต้นปรับจำเลยเป็นเงินสี่เท่าของจำนวนเงินตราที่นำออกไปนอกพระราชอาณาจักรตามกฎหมายแล้ว ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าว มิได้ให้ดุลพินิจศาลที่จะใช้อำนาจปรับให้น้อยกว่านั้น หรือเป็นอย่างอื่นได้ศาลฎีกาจึงไม่อาจปรับให้น้อยลงหรือลงโทษสถานเบากว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนด…”
พิพากษายืน

Share