คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2341/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2522เพื่อใช้ทำเป็นสำนักงานตรวจสอบบัญชี โจทก์ได้ชำระราคาบางส่วนและกู้เงินจากธนาคารบางส่วน โดยเอาที่ดินและตึกแถวพิพาทจำนองไว้กับธนาคารเป็นจำนวนเงิน 952,000 บาท แล้วผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่ธนาคารเดือนละ 13,659 บาท จึงเชื่อได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทโดยประสงค์จะตั้งเป็นสำนักงานตรวจบัญชีเท่านั้น ต่อมาโจทก์ขายที่ดินและตึกพิพาทดังกล่าวไปเมื่อวันที่10 เมษายน 2524 แม้ก่อนหน้านี้โจทก์เคยขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแปลงอื่น ๆ เจ้าพนักงานได้เรียกโจทก์ไปทำการตรวจสอบผลการตรวจสอบปรากฏว่าการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ในครั้งก่อน ๆ มิได้ขายเพื่อการค้า หรือหากำไรแต่อย่างใด ดังนี้การที่โจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทมาแล้วขายไป มิใช่เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร หรือขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไร โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้า.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าสำหรับปี พ.ศ. 2524 โดยอ้างว่าโจทก์ขายที่ดินโฉนดเลขที่ 33087, 33088 พร้อมด้วยตึกแถวสามชั้น 2 คูหา เลขที่ 189/8-9 ซอยจินดาถวิล ถนนสี่พระยา เขตบางรักกรุงเทพมหานคร ในราคา 2 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2524 เป็นการมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร เป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินเพิ่มจำนวน 537,915 บาท และภาษีการค้า เงินเพิ่มและเบี้ยปรับจำนวน 251,020 บาท โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับการประเมินดังกล่าวจึงได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินเพิ่มเป็นเงิน 250,886 บาท และเสียภาษีการค้า เบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นเงิน 143,220 บาท โจทก์เห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ เพราะโจทก์ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและใช้เป็นสำนักงาน ในราคา 1,380,000 บาท และชำระราคาบางส่วน โดยการจำนองและผ่อนชำระต่อธนาคาร โจทก์ได้ต่อเติมตึกแถวเป็น 4 ชั้นสิ้นเงินไป 150,000 บาท ต่อมาโจทก์มีภาระในการชำระเงินจำนองและมีรายได้จากสำนักงานตรวจบัญชีไม่ดีจึงขายที่ดินและตึกพิพาทไปในราคา 2 ล้านบาท โดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร โจทก์ได้แสดงรายการยกเว้นภาษีการขายอสังหาริมทรัพย์ไว้ในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี พ.ศ. 2524 แล้ว กรณีของโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้า เพราะมิได้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นปกติการค้าราคาที่ซื้อขายเป็นราคาปกติในท้องตลาดไม่มีลักษณะเก็งกำไร การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงมิชอบขอให้เพิกถอน
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว เพราะโจทก์ซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2522ราคา 1,000,000 บาท และขายไปในราคา 2,000,000 บาท เมื่อวันที่10 เมษายน 2524 โดยที่โจทก์ไม่เคยเข้าอยู่อาศัยและดำเนินกิจการใด ๆในอาคารดังกล่าวเลย นอกจากนี้โจทก์ประกอบธุรกิจซื้อขายที่ดินมาโดยตลอด กล่าวคือในปี พ.ศ. 2521 โจทก์ซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่577 และ 2792 เนื้อที่ 26 ไร่ ซื้อขายที่ดินโฉนดที่ 6754 เนื้อที่406 ตารางวา และขายบ้านเลขที่ 16/1 ซอยกิ่งจินดาถนนประดิพัทธ์ เขตพญาไท ในปี พ.ศ. 2524 โจทก์ซื้อบ้านเทาว์เฮาส์2 หลัง และมีที่ดินที่ซอยสุขุมวิท 103 เนื้อที่ 106 ตารางวาเป็นพฤติการณ์แสดงว่าโจทก์ดำเนินธุรกิจซื้อขายที่ดินเป็นปกติในทางการค้า การขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในคดีนี้ เป็นการซื้อมาขายไปในเวลาอันสั้นมีเจตนาเก็งกำไร กรณีของโจทก์ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42(9) แห่งประมวลรัษฎากรการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ถูกต้องแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 4 ว่าการที่โจทก์ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทแล้วขายไป เป็นการกระทำเพื่อการค้าและเป็นการขายทรัพย์สินซึ่งได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 4 ฎีกาว่านอกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทแล้ว โจทก์ยังเคยซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 577, 2792 เนื้อที่ 26 ไร่ ที่ดินโฉนดเลขที่6754 เนื้อที่ 406 ตารางวา พร้อมบ้าน และที่ดินพร้อมบ้านเลขที่16/1 ซอยกิ่งจินดา ซื้อทาวน์เฮาส์เลขที่ 33/32-33 ซอยลาดพร้าว 1และยังซื้อที่ดิน 106 ตารางวา ที่ซอยสุขุมวิท 103 โดยโจทก์มิได้ใช้สอยหรือให้เช่าที่ดินและบ้านเหล่านี้ ทั้งมีการซื้อขายเป็นระยะพฤติการณ์ของโจทก์แสดงให้เห็นว่า โจทก์ขายที่ดินและตึกแถวพิพาทเพื่อการค้าและมุ่งหากำไร พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบหักล้างเป็นอย่างอื่นว่าโจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทมาทำเป็นสำนักงานตรวจสอบบัญชี และในการซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาท โจทก์ได้ชำระราคาบางส่วนและกู้เงินจากธนาคารบางส่วน โดยเอาที่ดินและตึกแถวพิพาทจำนองไว้แก่ธนาคารเป็นจำนวนเงิน 952,000 บาท แล้วผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่ธนาคารเดือนละ 13,659 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 จ.5 จ.9 จ.20 และ จ.21 จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีเหตุผลให้เชื่อได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวพิพาทก็โดยประสงค์จะตั้งเป็นสำนักงานตรวจสอบบัญชีเท่านั้นไม่ใช่เพื่อมุ่งในทางการค้าหรือเพื่อหากำไร ดังนั้น การขายที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงมิใช่เป็นการขายทรัพย์สินที่ได้มาโดยมุ่งในทางกาาค้าหรือหากำไร ส่วนที่ว่าก่อนหน้านี้โจทก์เคยขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแปลงอื่น ๆ อีกนั้น ก็ได้ความจากนายภาณุทัต รัตดนคม พยานของฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีว่า สำนักงานภาษีสรรพากรเขตพื้นที่ 1 ก็ได้เรียกโจทก์ไปทำการตรวจสอบเช่นเดียวกันกับคดีนี้มาก่อนแล้ว ผลการตรวจสอบปรากฏว่าการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ในครั้งก่อน ๆ มิได้ขายเพื่อการค้าหรือมุ่งหากำไร อันแสดงว่าโจทก์มิได้ประกอบการค้าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแต่อย่างใด ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าการที่โจทก์ได้มาซึ่งที่ดินและตึกแถวพิพาทและขายไป มิใช่เป็นการขายทรัพย์สินซึ่งได้มาโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร และไม่ได้ขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไร…”
พิพากษายืน.

Share