คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2341/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 โกรธที่ผู้ตายทวงเงิน 10 บาทที่จำเลยที่ 3ยืมไป จำเลยที่ 3 จึงชวนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และพวกมาดัก ทำร้ายผู้ตายกับพวก สาเหตุที่ดัก ทำร้ายเป็นเรื่องเล็กน้อย จำเลยทั้งสี่มิได้พกอาวุธมาด้วย แสดงว่าเจตนาเพียงชกต่อยทำร้ายร่างกายผู้ตายกับพวกเท่านั้น เมื่อชกต่อยจนผู้ตายล้มลงจำเลยที่ 1กระชากไม้รั้วจากข้างทางตี ผู้ตายจนตาย จึงเป็นการกระทำโดย เจตนาฆ่าของจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวเท่านั้น จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4มิได้มีเจตนาร่วมในการกระทำในส่วนนี้ด้วย คงมีเจตนาเพียงร่วมทำร้ายร่างกายผู้ตายเท่านั้น เมื่อการร่วมทำร้ายเป็นผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดฐาน ร่วมทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 4 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมหายอาญา มาตรา 295, 83
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 โกรธที่นายภูมินทร์และผู้ตายทวงเงิน 10 บาท ที่จำเลยที่ 3 ยืมไป จำเลยที่ 3 จึงชวนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และพวกมากันทำร้ายผู้ตายกับพวก สาเหตุที่ดักทำร้ายเป็นเรื่องเล็กน้อย จำเลยทั้งสี่มิได้พกอาวุธมาด้วย แสดงว่าเจตนาเพียงชกต่อยทำร้ายร่างกายผู้ตายกับพวกเท่านั้นเมื่อผู้ตายล้มลงจำเลยที่ 1 กระชากไม้รั้วจากข้างทางมาตีผู้ตายจนตาย จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าของจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวเท่านั้น จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มิได้มีเจตนาร่วมในการกระทำในส่วนนี้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีเจตนาเพียงร่วมทำร้ายร่างกายเท่านั้นเมื่อการร่วมทำร้ายเป็นผลให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงมีความผิดฐานร่วมทำรัายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 วรรคแรก, 83 นอกจากที่แก้ให้ไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share