แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นนิติบุคคล ระหว่างเกิดเหตุมี ม. เป็นอธิบดี ม.จึงเป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์แต่เพียงผู้เดียว การที่เจ้าหน้าที่ระดับล่างของโจทก์รู้ถึง การละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน จะถือว่าโจทก์ทราบไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไม่ใช่ผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ เมื่ออธิบดีกรมทางหลวงรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้อง ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2527 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 19 กันยายน2527 ฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลสังกัดกระทรวงคมนาคม เป็นเจ้าของผู้ครอบครองดูแลรักษาทางหลวงที่เกิดเหตุคดีนี้ จำเลยเป็นเจ้าของและผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๔ ข – ๒๖๓๘ กรุงเทพมหานคร จำเลยได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทโดยใช้ความเร็วสูง ไม่ระมัดระวังทางข้างหน้า เป็นเหตุให้รถที่จำเลยขับแล่นไปชนหลักกันโค้งและเสาไฟฟ้าริมถนนทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน ๘,๑๖๐ บาท โจทก์ทราบการละเมิดของจำเลยเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๒๗ และทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๒๖ จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๒๖ จำเลยได้ขับรถยนต์ชนหลักกันโค้งและเสาไฟฟ้าของโจทก์เสียหาย เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๒๖ นายวิเชียร เทียนดำนายช่างโยธาแขวงการทางกรุงเทพ ได้มีหนังสือให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระ ต่อมาวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๒๗ นายนิคมขจรศรีเดช นิติกร ๗ ได้ทำบันทึกเสนอรองอธิบดีกรมทางหลวงและรองอธิบดีกรมทางหลวงได้บันทึกต่อท้ายเสนอให้นายมนัส คอวนิชอธิบดีกรมทางหลวงทราบในวันเดียวกัน ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๑๐คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาเพียงเรื่องอายุความซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้นที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยทำละเมิดเมื่อวันที่ ๔มิถุนายน ๒๕๒๖ นายวิเชียร เทียนดำ นายช่างโยธา แขวงการทางกรุงเทพเจ้าหน้าที่ของโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลรู้ถึงการละเมิดและรู้ว่าจำเลยเป็นผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันที่ ๒๐ กรกฎาคม๒๕๒๖ ถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันดังกล่าว โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๙กันยายน ๒๕๒๗ ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘ นั้นศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์เป็นนิติบุคคล ระหว่างเกิดเหตุมีนายมนัส คอวนิชเป็นอธิบดี นายมนัสจึงเป็นผู้มีอำนาจทำการแทนโจกท์แต่เพียงผู้เดียวการที่เจ้าหน้าที่ระดับล่างของโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนจะถือว่าโจทก์ทราบด้วยไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไม่ใช่ผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ ดังนั้น เมื่อนายมนัสอธิบดีกรมทางหลวงรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๒๗ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๒๗ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๘
พิพากษายืน.