คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2339/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ จำเลยให้การว่าโจทก์ได้ทำสัญญาประนอมหนี้โดยยอมยกเลิกหนี้เดิมให้จำเลย คงเหลือเพียงจำนวนน้อยกว่าเดิม. และจำเลยได้ชำระให้โจทก์แล้วในการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยจะต้องรับผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เมื่อโจทก์มิได้แถลงให้ศาลจดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ถูกเจ้าหน้าที่ก.ต.ป. บังคับขู่เข็ญให้จำต้องทำสัญญาประนอมหนี้ดังกล่าวคดีจึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยก็เป็นการนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ทำสัญญากู้ยืมเงิน 70,000 บาทจากโจทก์ทั้งสองโดยจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยผัดชำระหนี้แล้วไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระต้นเงิน70,000 บาท และดอกเบี้ยแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้จำเลยที่ 3 ที่ 4ชำระแทน

จำเลยทั้งสี่ให้การว่า หนี้เงินกู้ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 จำเลยที่ 2 กับโจทก์เคยทำสัญญาประนอมหนี้โดยความรู้เห็นของเจ้าหน้าที่ ก.ต.ป.ให้ยกเลิกหนี้เดิมที่จำเลยที่ 2 เป็นหนี้โจทก์ จำเลยที่ 2 ยังคงเป็นหนี้โจทก์ 15,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องชำระภายใน 1 ปี และชำระดอกเบี้ยตามอัตราที่กฎหมายกำหนดทุกเดือนไม่ทบต้น จำเลยที่ 2 นำเงิน 15,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยไปชำระให้โจทก์แต่โจทก์ไม่ยอมรับโดยจะเอามากกว่านั้น ต่อมาโจทก์ขอบังคับคดีในคดีอื่นจำเลยได้ต่อสู้และวางเงิน 15,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยต่อศาลโดยถือว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนั้นอยู่ในบังคับของสัญญาประนอมหนี้

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังได้ว่าโจทก์ทำสัญญาประนอมหนี้โดยถูกเจ้าหน้าที่ ก.ต.ป. บังคับขู่เข็ญ สัญญาประนอมหนี้มีผลบังคับตามกฎหมายและจำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 15,000 บาทให้โจทก์แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์ทั้งสองทำสัญญาประนอมหนี้โดยถูกเจ้าหน้าที่ ก.ต.ป. บังคับขู่เข็ญ สัญญาประนอมหนี้จึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้คดีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความและจำเลยทั้งสี่ไม่ต้องรับผิดตามที่โจทก์ฟ้องเพราะโจทก์ทั้งสองได้ทำสัญญาประนอมหนี้โดยยกเลิกหนี้เดิมให้จำเลยที่ 2 คงเหลือเพียง 15,000 บาท และจำเลยที่ 2 ได้ชำระเงินจำนวนนี้ให้โจทก์แล้วในการชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้จดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า 1. ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และ 2. จำเลยทั้งสี่จะต้องรับผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183บัญญัติไว้ว่าให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปตามนั้น อันหมายถึงว่าศาลต้องพิจารณาและชี้ขาดไปตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้ในการชี้สองสถานโจทก์มิได้แถลงให้ศาลจดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า สัญญาประนอมหนี้ที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การนั้น โจทก์ทั้งสองได้ถูกเจ้าหน้าที่ ก.ต.ป. บังคับขู่เข็ญให้จำต้องทำหรือไม่ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยก็เป็นการนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งสองที่ว่าได้ถูกเจ้าหน้าที่ ก.ต.ป.บังคับขู่เข็ญ

พิพากษาให้ยกฎีกาของโจทก์ทั้งสอง ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่โจทก์ทั้งสอง

Share