คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2338/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เยาว์อายุไม่เกินสิบสามปีออกจากบ้านไปคนเดียว จำเลยซึ่งเป็นป้ารับกลับมาแล้วไม่พาไปหาบิดามารดาเพราะผู้เยาว์กลัวถูกทำโทษไม่ยอมกลับ จนย่าของผู้เยาว์ต้องนำไปบวชเณรเพื่อไม่ให้ถูกบิดามารดาทำโทษแล้วจึงให้ ส. ไปบอกบิดามารดาไปรับกลับเอง ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ป.อ. มาตรา 317.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา317 ลงโทษจำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเด็กชายสุรพันธ์เป็นบุตรนายสำรวย ยอดสมกับนางอัมพร ยอดสม เด็กชายสุรพันธ์ ได้เดินทางไปที่ปากคลองตลาด แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนครกรุงเทพมหานคร และพักอาศัยอยู่กับผู้มีชื่อต่อมาจำเลยได้ไปรับเด็กชายสุรพันธ์ที่ปากคลองตลาดแล้วพาไปอยู่ที่บ้านของจำเลย แล้วมารดาจำเลยซึ่งเป็นย่าของเด็กชายสุรพันธ์พาเด็กชายสุรพันธ์ไปบวชเณร ปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว โจทก์มีเด็กชายสุรพันธ์เพียงคนเดียวเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยชวนไปที่ปากคลองตลาดแล้วพาไปทิ้งไว้ ส่วนจำเลยมีนางเจิม แซ่อุย ซึ่งเป็นย่าของเด็กชายสุรพันธ์เบิกความเป็นพยานว่า มาที่บ้านจำเลยพบเด็กชายสุรพันธ์อยู่ที่บ้านจำเลย จำเลยเล่าให้ฟังว่าได้ไปรับเด็กชายสุรพันธ์มาจากปากคลองตลาดแล้วจะให้กลับบ้านไปอยู่กับบิดามารดา แต่เด็กชายสุรพันธ์ไม่ยอมกลับจึงแนะนำให้บวชเณร บิดามารดาจะได้ไม่ดีและได้สอบถามเด็กชายสุรพันธ์ เด็กชายสุรพันธ์เล่าให้ฟังว่าไปกรุงเทพมหานครคนเดียว ไปอยู่กับจับกังที่ปากคลองตลาดแล้วจำเลยไปพบจึงรับกลับมา เหตุที่นางเจิมอ้างว่า เด็กชายสุรพันธ์เล่าให้ฟังก็มีเหตุผลเพราะนางเจิมเป็นย่า และตามคำเบิกความของนายสำรวย ยอดสม บิดาเด็กชายสุรพันธ์ก็ได้ความว่านางเจิมกับเด็กชายสุรพันธ์สนิทสนมกัน และนางเสาวคนธ์ สิทธิสังข์ พยานจำเลยซึ่งเป็นครูประจำชั้นของเด็กชายสุรพันธ์เบิกความว่า ปกติเด็กชายสุรพันธ์มาโรงเรียนและหายไประหว่างชั่วโมงเกินกว่า 3 ครั้งและไม่ค่อยเข้าเรียนตามชั่วโมงเรียนเมื่อเด็กชายสุรพันธ์ไม่ได้มาโรงเรียนหลายวัน ได้สั่งให้เด็กนักเรียนที่อยู่ใกล้ๆ กันไปบอกบิดามารดาเด็กชายสุรพันธ์ บิดามารดาเด็กชายสุรพันธ์มาบอกว่า เด็กชายสุรพันธ์ได้หายไปจากบ้านพร้อมกับเงินของน้าเด็กชายสุรพันธ์ที่อยู่บนหิ้งพระก็หายไปด้วย ตามคำเบิกความของนางเสาวคนธ์ ครูประจำชั้นของเด็กชายสุรพันธ์ดังกล่าวเห็นได้ว่า เด็กชายสุรพันธ์ไม่สนใจเล่าเรียนเท่าใดนักชอบหนีเที่ยวอยู่เสมอ ในวันเกิดเหตุปรากฏว่า เงินของน้าเด็กชายสุรพันธ์ก็หายไปด้วยทั้งตามคำเบิกความของเด็กชายสุรพันธ์เองยังได้ความว่าได้ฝากกระเป๋าเรียนให้น้องกลับไปบ้านก่อน แสดงว่า เด็กชายสุรพันธ์ไม่ต้องการกลับไปบ้านเนื่องจากเหตุที่เงินของน้าหายไปด้วย และตามคำเบิกความของนางสาวสิริรัตน์ รักวาทิน พยานโจทก์ได้ความอีกว่า เด็กชายสุรพันธ์เคยถูกมารดาตีอย่างทารุณจากเหตุที่ได้กล่าวมาทำให้คำเบิกความของนางเจิมที่ว่า เด็กชายสุรพันธ์เล่าให้ฟังว่า ไปปากคลองตลาดเองคนเดียว มีน้ำหนักให้รับฟังได้ นอกจากนี้จำเลยก็มีนางสาย ป้อมสถิตย์ เบิกความเป็นพยานยืนยันว่า จำเลยเคยบ่นว่าหลานหายไป พยานได้บอกว่าเคยพบ ต่อมาพยานไปซื้อของที่ปากคลองตลาดพบหลานของจำเลย เมื่อกลับมาจึงไปบอกจำเลยจำเลยก็ไปรับแต่ไม่พบกันและจำเลยไปอีกครั้งก็พบกัน จำเลยก็รับกลับมา ทั้งตามพฤติการณ์เด็กชายสุรพันธ์ก็เป็นหลานจำเลย ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะกระทำต่อหลานเช่นที่โจทก์อ้างการที่จำเลยรับกลับมาแล้วไม่พาไปหาบิดามารดาก็เนื่องจากเด็กชายสุรพันธ์กลัวถูกทำโทษไม่ยอมกลับไป จนนางเจิมต้องนำไปบวชเณรเพื่อไม่ให้ถูกบิดามารดาทำโทษ แล้วจึงได้ให้นางสาวสิริรัตน์ รักวาทิน ไปบอกให้ผู้เสียหายไปรับกลับ การที่จำเลยรับเด็กชายสุรพันธ์มาแล้วไม่ส่งไปให้บิดามารดาจึงไม่เป็นข้อพิรุธแต่อย่างใด พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ รับฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share