แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
รถยนต์เป็นของโจทก์ จำเลยอ้างว่าเป็นของจำเลย และยืนยันให้พนักงานสอบสวนยึดรถไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด พนักงานสอบสวนยึดรถไว้ได้ตามที่เห็นสมควรระหว่างคดีอยู่ระหว่างศาลพิจารณา ไม่เป็นละเมิด จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่ารถยนต์เป็นของโจทก์ ระหว่างพิจารณาจำเลยยืนยันให้ตำรวจยึดรถไว้ จำเลยทำโดยสุจริตไม่เป็นละเมิดพิพากษายกฟ้องโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาเรื่องบริษัทจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่นั้นเห็นว่า แม้ตัวแทนบริษัทจำเลยจะยืนยันขอให้พนักงานสอบสวนยึดรถไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และถ้ามีเหตุเสียหายแก่โจทก์ก็ยินดีให้ฟ้องร้องทางแพ่งก็ตาม แต่อำนาจในการที่จะยึดรถไว้หรือไม่ เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนโดยเฉพาะที่จะใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรตัวแทนบริษัทจำเลยไม่มีอำนาจที่จะสั่งพนักงานสอบสวน เพราะขณะนั้นยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ยังไม่แน่ชัดว่ารถนั้นจะเป็นของผู้ใดบริษัทจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ในความเสียหายอันเกิดขึ้นจากการที่พนักงานสอบสวนยึดรถโจทก์ไว้ ส่วนที่คู่ความตกลงกันว่าหากศาลพิพากษาให้ฝ่ายจำเลยแพ้คดีบริษัทจำเลยยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษาทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวแล้วโจทก์ถอนฟ้องจำเลยอื่นไปนั้น เห็นว่าบริษัทจำเลยจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นที่โจทก์ถอนฟ้องไปแล้ว ก็ต่อเมื่อเป็นกรณีร่วมกันทำละเมิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 เมื่ออำนาจในการที่สมควรจะยึดรถยนต์ไว้หรือไม่ เป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนโดยเฉพาะถึงอย่างไรบริษัทจำเลยก็ไม่อาจร่วมกันทำละเมิดกับจำเลยที่ 3 ผู้สั่งยึดรถได้บริษัทจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์”
พิพากษายืน