แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองต่างยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันการทำงาน ของดต่อโจทก์ซึ่งเป็นหนี้รายเดียวกัน แต่ค้ำประกัน ต่างวาระและสัญญาคนละฉบับกัน ก็ต้องอยู่ในบังคับแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสอง จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน โจทก์จะอ้างว่าคู่กรณีมีเจตนาต้องการให้จำเลยทั้งสองแยกรับผิดเป็นคนละจำนวนกัน ซึ่งให้มีผลบังคับเป็นอย่างอื่นจากบทบัญญัติของกฎหมายไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายเดชา น้อยยุ่น เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานการเงิน มีหน้าที่เก็บรวบรวมเงินสดและเช็คซึ่งพนักงานขายมอบในแต่วันเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดในวงเงินคนละ 50,000 บาท เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2537 นายเดชากับนายชาญ น้อยลา พนักงานของโจทก์ยักยอกเงินของโจทก์รวม 412,213 บาท โจทก์ได้ร้องทุกข์ไว้ต่อมายึดเงินคืนจากนายเดชาได้ 159,000 บาท ปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกนายเดชาและนายชาญคนละ 1 ปี 6 เดือน กับให้คืนเงินส่วนที่ขาดอีก 253,613 บาท โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันชำระหนี้ในวงเงินค้ำประกัน แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินคนละ 51,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ไม่ให้การและไม่สืบพยาน
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า กรณีของจำเลยทั้งสองเป็นการค้ำประกันการทำงานของนายเดชาตลอดระยะเวลาทำงานถือเป็นหนี้รายเดียวกัน จึงเป็นกรณีบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันจำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงินที่ค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสอง โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดในวงเงินที่ค้ำประกัน 50,000 บาท มิใช่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดต่อโจทก์ในวงเงิน 50,000 บาท ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2243/2536 กับจำเลยทั้งสองต้องรับผิดในดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของวงเงินที่ค้ำประกันนับแต่วันผิดนัดจนกว่าชำระเสร็จซึ่งโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยนับแต่วันครบกำหนดตามหนังสือบอกกล่าวทวงถามถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,250 บาท จึงให้เท่าที่โจทก์ขอ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน51,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน50,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่านายเดชาเข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์มีจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันต่อโจทก์โดยยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่นายเดชาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างที่ทำงานกับโจทก์ในวงเงินคนละไม่เกิน 50,000 บาท ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ระหว่างที่นายเดชาเป็นลูกจ้างโจทก์นั้น เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2537 นายเดชาร่วมกับนายชาญพนักงานติดรถของโจทก์ยักยอกเงินของโจทก์ที่พนักงานขายนำมามอบให้เพื่อนำเข้าบัญชีของโจทก์จำนวน413,213 บาท ต่อมาโจทก์ยึดเงินคืนได้จากนายเดชาจำนวน 159,000 บาท คงเหลือค่าเสียหายที่ต้องชดใช้คืนแก่โจทก์จำนวน 253,613 บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงใด พิเคราะห์แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสองบัญญัติว่า “ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้ ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน ถึงแม้มิได้เข้ารับประกันรวมกัน” คดีนี้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2536ตามเอกสารหมาย จ.6 ส่วนจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2536 ตามเอกสารหมาย จ.7 โดยต่างยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของนายเดชาต่อโจทก์ซึ่งเป็นหนี้รายเดียวกัน แม้การค้ำประกันจะทำขึ้นต่างวาระกันและเป็นคนละฉบับกัน ก็ตกอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติดังกล่าวที่ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าเหตุที่ทำสัญญาค้ำประกันดังกล่าว ก็โดยคู่กรณีมีเจตนาเป็นอย่างอื่นเพื่อต้องการให้ผู้ค้ำประกันแยกรับผิดเป็นคนละจำนวนกัน ไม่อาจปรับได้กับบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นนั้นเห็นว่า เมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะซึ่งอาจปรับได้กับข้อเท็จจริงในคดีนี้แล้ว โจทก์จะอ้างเหตุอื่นเพื่อตีความกฎหมายให้มีผลบังคับเป็นอย่างอื่นหาชอบไม่ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดตามสัญญาค้ำประกันในวงเงิน 50,000 บาท ชอบแล้ว”
พิพากษายืน