คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2328/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ตามที่จำเลยอุทธรณ์ จำเลยจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกมิได้ เพราะไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.บ.03338 ซึ่งนายเหลือบเป็นลูกจ้างทำหน้าที่ขับ จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถดังกล่าว เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม2519 นายเหลือบขับรถดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2ด้วยความประมาทพลิกคว่ำขวางทางในเส้นทางที่รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฝ.8212 ของกรมทางหลวงที่แล่นสวนทางมา โดยมีนายแสวงเป็นผู้ขับและโจทก์นั่งมาด้วย นายแสวงไม่อาจหยุดรถหรือหลบหลีกได้ จึงแล่นเข้าชนรถของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 20,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้นั่งมาในรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฝ.8212 นายเหลือบมิใช่ลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของนายแสวง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า นายเหลือบไม่ใช่ลูกจ้างทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 เหตุเกิดเพราะคนขับรถคันที่โจทก์นั่งมาประมาทรถยนต์ที่นายเหลือบขับพลิกคว่ำเพราะเหตุสุดวิสัย

จำเลยที่ 3 ให้การว่า ขณะเกิดเหตุรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนน.บ.03338 ไม่ได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 เพราะขายให้จำเลยที่ 2 นายเหลือบเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์คันนี้แต่จำเลยที่ 1 ขายไปโดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบ เป็นการเปลี่ยนแปลงการครอบครองวัตถุประสงค์แห่งสัญญาประกันภัยสัญญาตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด หากจำเลยที่ 3ต้องรับผิด ก็คงรับผิดตามเงื่อนไขในกรมธรรมประกันภัยเท่านั้นและเหตุเกิดเพราะความประมาทของนายแสวง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินสองหมื่นบาทต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษายกอุทธรณ์

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ไม่สามารถนำสืบได้ว่านายเหลือบกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1โจทก์สืบไม่สมฟ้องนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ก็ไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ ตามที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ จำเลยที่ 1 จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกมิได้ เพราะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 1

Share