คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2325/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์แบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงย่อยปลูกสร้างตึกแถวเพื่อขายและจัดทำถนนออกสู่ทางสาธารณะเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อตึกแถวถนนดังกล่าวจึงเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรได้จัดให้มีขึ้นตกอยู่ใน ภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ ที่ดินที่ จัดสรรจำเลยมีสิทธิใช้ถนนพิพาทเป็นทางสัญจรผ่านเข้าออกได้เท่านั้นและโจทก์เป็น ผู้จัดสรรที่ดิน มีหน้าที่บำรุงรักษากิจการอันเป็นสาธารณูปโภคให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นโดยตลอดไปตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่286ข้อ30วรรคแรกและข้อ32จำเลยทำให้ถนนเสื่อมสภาพและเสื่อมประโยชน์การใช้เป็นทางสัญจรเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55 การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินเนื้อที่8ตารางวาที่จำเลยรุกล้ำตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินจัดสรรเพื่อประโยชน์แก่ผู้ซื้อตึกแถวจำเลยไม่มีสิทธิยึดถือครอบครองทำให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดลงด้วยการสร้างกันสาดและวางสิ่งของขายเท่ากับว่าจำเลยไม่อาจครอบครองอย่างเป็นเจ้าของแม้จำเลยจะได้สิทธิครอบครองใช้ที่ดินพิพาทเป็นเวลาเกินกว่า10ปีก็ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นจึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา238ประกอบมาตรา249

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง และ แก้ไข คำฟ้อง ว่า โจทก์ เป็น เจ้าของ กรรมสิทธิ์ที่ดิน โฉนด เลขที่ 1831 โจทก์ ได้ จัดสรร ที่ดิน แปลง นี้ เนื้อที่ จำนวน2 งาน 29 ตารางวา เศษ ไว้ เป็น ทางผ่าน เข้า ออก สู่ ถนน สาธารณะจำเลย เป็น เจ้าของ บ้าน เลขที่ 76/7 ตั้ง อยู่ บน ที่ดิน โฉนด เลขที่ 8722ซึ่ง มี เขต ติดต่อ กับ ที่ดิน ของ โจทก์ ที่ เป็น ทางผ่าน ดังกล่าว จำเลย ได้ก่อสร้าง เพิ่มเติม อาคาร ส่วน หน้า ของ บ้าน เลขที่ ดังกล่าว ของ ตนเป็น กันสาด เหล็ก และ วาง สิ่งของ เพื่อ ค้าขาย รุกล้ำ เข้า มา ใน ที่ดิน ของโจทก์ มี ความยาว ประมาณ 2 เมตร กว้าง ประมาณ 4 เมตรโจทก์ ได้ แจ้ง ให้ จำเลย รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง กับ สิ่งของ ที่ รุกล้ำออก ไป จาก ที่ดิน ของ โจทก์ แล้ว แต่ จำเลย เพิกเฉย การกระทำ ของจำเลย เป็นเหตุ ให้การ ใช้ ประโยชน์ แห่ง สาธารณูปโภค เสื่อม ความสะดวกลง ไป เป็น การ ละเมิด สิทธิ โจทก์ ขอให้ บังคับ จำเลย รื้อถอน เฉพาะ ส่วนกันสาด ด้านหน้า ของ อาคาร เลขที่ 76/7 ที่ รุกล้ำ เข้า มา ใน ที่ดินของ โจทก์ ออก ไป จาก ที่ดิน ของ โจทก์
จำเลย ให้การ และ ฟ้องแย้ง ว่า โจทก์ ไม่มี อำนาจฟ้อง เพราะ ไม่ได้ถูก โต้แย้ง สิทธิ โจทก์ ไม่ได้ รับ อนุญาต ให้ จัดสรร ที่ดิน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะ ไม่ได้ บรรยาย ว่า โจทก์ จัดสรร ที่ดิน อย่างไรเป็น สาธารณูปโภค เท่าใด จำเลย กระทำ ละเมิด ต่อ โจทก์ เมื่อใดโจทก์ ไม่เคย บอกกล่าว ให้ จำเลย รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง และ สิ่งของออก ไป จาก ที่ดิน ที่ดิน ของ โจทก์ ไม่ได้ ทำ เป็น ทาง เข้า ออก สู่ ทางสาธารณะจำเลย ได้ ครอบครอง และ ใช้ ประโยชน์ ใน ที่ดิน ส่วน นี้ ของ โจทก์ด้วย ความสงบ เปิดเผย ด้วย เจตนา เป็น เจ้าของ ตลอดมา รวม ระยะเวลาเกินกว่า 10 ปี จำเลย จึง ได้ กรรมสิทธิ์ ใน ที่ดิน ส่วน ดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง และ พิพากษา ว่า ที่ดิน ที่ จำเลย ครอบครอง ดังกล่าว เป็น กรรมสิทธิ์ของ จำเลย
โจทก์ ยื่นคำให้การ แก้ฟ้อง แย้ง เกิน กำหนด ระยะเวลา ศาลชั้นต้นมี คำสั่ง ไม่รับ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้องแย้ง จำเลย ให้ จำเลยรื้อถอน อาคาร บ้าน เลขที่ 76/7 เฉพาะ ส่วน กันสาด ด้านหน้า อาคารที่ รุกล้ำ เข้า มา ใน ที่ดิน ของ โจทก์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ปัญหา ที่ ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ จำเลยใน ปัญหาข้อกฎหมาย ประการ แรก มี ว่า โจทก์ มีอำนาจ ฟ้อง หรือไม่จำเลย ฎีกา ว่า โจทก์ ไม่ใช่ เป็น ผู้ ถูก โต้แย้ง สิทธิ เพราะ โจทก์ นำ ที่ดินมา จัดสรร แบ่ง เป็น แปลง ย่อย แล้ว ปลูก ตึกแถว ขาย โดย เว้น เนื้อที่ ไว้2 งาน 29 ตารางวา เพื่อ เป็น ถนน ผ่าน เข้า ออก สู่ ทางสาธารณะอันเป็น สาธารณูปโภค เพื่อ ประโยชน์ แห่ง การ จัดสรร ที่ดิน ที่ดิน ที่โจทก์ เว้น ไว้ เป็น ถนน ดังกล่าว ย่อม เป็น ทาง สาธารณสมบัติของแผ่นดินจึง เป็น อำนาจ และ หน้าที่ ของรัฐ เป็น ผู้ เข้า ไป ดูแล รักษา และ โจทก์ก็ ไม่ได้ รับ ความเสียหาย เป็น กรณี พิเศษ จาก การ ไม่ได้ ใช้ ถนน ดังกล่าวเป็น ปกติ สุข นั้น เห็นว่า การ ที่ โจทก์ แบ่งแยก ที่ดิน โฉนด เลขที่ 1831ออก เป็น แปลง ย่อย ปลูกสร้าง ตึกแถว ขาย ถึง 50 แปลง อีก ทั้ง ยัง จัด ให้มี การ ทำ ถนน ออก สู่ ทางสาธารณะ โดย จัด สร้าง ขึ้น พร้อม กับ การ สร้างตึกแถว ขาย เพื่อ ประโยชน์ ของ ผู้ซื้อ ตึกแถว เป็น การ จัด จำหน่ายที่ดิน ติดต่อ กัน เป็น แปลง ย่อย มี จำนวน ตั้งแต่ สิบ แปลง ขึ้น ไปซึ่ง จำเลย ได้ ซื้อ ตึกแถว ไว้ 1 ห้อง เลขที่ 76/7 ตาม แผนผัง เอกสารหมาย จ. 3 ตึกแถว นอกนั้น โจทก์ ขาย หมด แล้ว ดังนี้ ที่ดิน ที่ โจทก์เว้น ไว้ เป็น ถนน ดังกล่าว จึง เป็น สาธารณูปโภค ที่ ผู้จัดสรรที่ดิน ได้จัด ให้ มี ขึ้น ต้อง ตกอยู่ใน ภารจำยอม เพื่อ ประโยชน์ แก่ ที่ดิน จัดสรรตาม นัย แห่ง ประกาศ ของ คณะ ปฎิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 วรรคแรกและ ข้อ 32 ดังนั้น ถนน หน้า ตึกแถว ของ จำเลย และ ผู้ที่ ซื้อ ตึกแถวราย อื่น ๆ ย่อม ตกเป็น ภารจำยอม แก่ ที่ดิน จัดสรร เพื่อ ประโยชน์แก่ ผู้ซื้อ ตึกแถว ทุก ห้อง จำเลย ผู้ซื้อ ตึกแถว จะ ทำการ แก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือ ก่อสร้าง ต่อเติม กันสาด รุกล้ำ เข้า ไป ใน ถนน อันเป็น สาธารณูปโภคหรือ ทำให้ ประโยชน์ แห่ง ภารจำยอม ลดลง ไป ไม่ได้ อีก ทั้ง จำเลย หามีสิทธิ วาง สิ่งของ เพื่อ ทำการ ค้าขาย โดย รุกล้ำ เข้า ไป ใน ถนน ดังกล่าวได้ไม่ จำเลย คง มีสิทธิ ใช้ ถนน พิพาท เป็น ทาง สัญจร ผ่าน เข้า ออกได้ เท่านั้น นอกจาก นี้ โจทก์ ยัง ต้อง ตกอยู่ใน บังคับ ใน ฐานะเป็น ผู้จัดสรร ซึ่ง ตาม ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับ ดังกล่าว ก็ ได้บัญญัติ ให้ เป็น หน้าที่ ของ ผู้จัดสรรที่ดิน หรือ ผู้รับโอน กรรมสิทธิ์คน ต่อไป ที่ จะ บำรุง รักษา กิจการ อันเป็น สาธารณูปโภค นั้น ให้ คง สภาพดัง เช่น ที่ ได้ จัดทำ ขึ้น โดย ตลอด ไป หาใช่ เป็น หน้าที่ ของรัฐตาม ที่ จำเลย ฎีกา ไม่ เมื่อ จำเลย ก่อสร้าง กันสาด และ วาง ของ ขายบน ถนน ย่อม ทำให้ ถนน อันเป็น สาธารณูปโภค นั้น เสื่อมสภาพ เสื่อม ประโยชน์การ ใช้ เป็น ทาง สัญจร ถือได้ว่า เป็น การ โต้แย้ง สิทธิ ของ โจทก์ซึ่ง เป็น ผู้จัดสรร และ เจ้าของ กรรมสิทธิ์ ใน ถนน พิพาท นั้น ด้วยโจทก์ จึง มีอำนาจ ฟ้อง ฎีกา ของ จำเลย ข้อ นี้ ฟังไม่ขึ้น
ส่วน ข้อกฎหมาย ใน ประการ สุดท้าย ที่ ว่า เมื่อ โจทก์ มิได้ ยื่นคำให้การ แก้ฟ้อง แย้ง จะ รับฟัง ว่า ที่ดิน ที่ โจทก์ เว้น ไว้ เป็น ทางภารจำยอม โดย ผล ของ กฎหมาย ตาม ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286ตาม ที่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ไม่ได้ และ ที่ ศาลอุทธรณ์ หยิบยก ปัญหา นี้ ขึ้นวินิจฉัย ว่า จำเลย ไม่อาจ อ้าง การ ครอบครองปรปักษ์ ขึ้น ต่อสู้ โจทก์ก็ เป็น การ นอกฟ้อง นอกประเด็น คดี ต้อง ฟัง ว่า จำเลย ได้ ครอบครอง ที่ดินเนื้อที่ 8 ตารางวา จน ได้ กรรมสิทธิ์ ด้วย การ ครอบครองปรปักษ์ แล้ว นั้นเห็นว่า ใน การ วินิจฉัย ปัญหาข้อกฎหมาย นั้น ศาลฎีกา จะ ต้อง ฟังข้อเท็จจริง ตาม ที่ ศาลอุทธรณ์ ได้ วินิจฉัย มา แล้ว จาก พยานหลักฐานใน สำนวน เมื่อ ศาลอุทธรณ์ ฟัง ข้อเท็จจริง ว่า ที่ดิน เนื้อที่ 8ตารางวา ที่ จำเลย รุกล้ำ ตกเป็น ภารจำยอม แก่ ที่ดิน จัดสรรเพื่อ ประโยชน์ แก่ ผู้ซื้อ ห้องแถว ทุก ห้อง จำเลย ไม่มี สิทธิ ยึดถือครอบครอง ถนน อันเป็น สาธารณูปโภค ดังกล่าว โดย ทำให้ ประโยชน์แห่ง ภารจำยอม ลดลง ไป ด้วย การ สร้าง กันสาด และ วาง สิ่งของ ขายเท่ากับ จำเลย ไม่อาจ ครอบครอง อย่าง เป็น เจ้าของ แม้ จำเลยจะ ได้ ครอบครอง ใช้ ที่ดินพิพาท เป็น เวลา เกินกว่า 10 ปี ก็ ไม่ทำให้ ได้ กรรมสิทธิ์ โดย การ ครอบครองปรปักษ์ ดังนี้ ข้อกฎหมาย ที่ จำเลยยกขึ้น มา ฎีกา ดังกล่าว จึง เป็น ข้อกฎหมาย ที่ ไม่เป็น สาระ แก่ คดี อันควรได้รับ การ วินิจฉัย ศาลฎีกา ไม่รับ วินิจฉัย ฎีกา ข้อ นี้ ของ จำเลยที่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ว่า จำเลย ไม่อาจ ครอบครอง ที่ดินพิพาทอย่าง เป็น เจ้าของ นั้น ชอบแล้ว ”
พิพากษายืน

Share