คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงที่ศาลจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาภายหลังโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลพิพากษาคดีไปตามยอมแล้วนั้น เป็นข้อตกลงที่โจทก์จำเลยตกลงกันว่าจะปฏิบัติต่อกันย่อมเป็นสัญญาอย่างหนึ่ง ภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าโจทก์จำเลยตกลงกันเวลาใดและที่ใด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและต่างเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในโฉนดเลขที่ 5016 รวมกับผู้มีชื่ออีกหลายคนเจ้าของรวมดังกล่าวต่างปลุกเรือนอาศัยและยุ้งข้าวในที่ดินตามโฉนดดังกล่าวโดยไม่ได้แบ่งแยกออกเป็นส่วนสัด โจทก์และจำเลยเคยพิพาทเป็นคดีมรดกกัน ผลที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันไว้ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 52/2525 ของศาลชั้นต้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2529 โจทก์และจำเลยไม่สามารถตกลงเกี่ยวกับการกำหนดเส้นทางเข้ายุ้งข้าวของโจทก์และจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินตามโฉนดดังกล่าวแล้ว จึงได้ร่วมกันแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลเดินเผชิญสืบที่พิพาทและกำหนดเส้นทางเข้ายุ้งข้าวของโจทก์และจำเลยหากมีสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งกีดขวางกั้นเส้นทางที่ศาลกำหนดให้ก็ให้ศาลกำหนดให้มีการเคลื่อนย้ายสิ่งนั้นออกไป โจทก์และจำเลยต้องถือปฏิบัติตาที่ศาลกำหนดให้ ศาลเดินเผชิญสืบที่พิพาทและกำหนดเส้นทางเข้ายุ้งข้าวของโจทก์และจำเลย ให้โจทก์และจำเลยร่วมกันตัดโค่น รื้อถอน ต้นไม้ เสา และสิ่งกีดขวางอื่น ๆ ที่อยู่ในเส้นทางออกไป เส้นทางดังกล่าวกว้าง 3 เมตร ตลอดสาย ปรากฎตามแผนที่หลังรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 3 มิถุนายน 2529 ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 52/2525 ของศาลชั้นต้นซึ่งผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องปฏิบัติตาม ขณะนี้ปรากฎว่าบนเส้นทางที่ศาลกำหนดให้ดังกล่าวมีต้นมะพร้าว 3 ต้น ต้นกล้วย 1 กอ รถยนต์โดยสารที่หมดสภาพแล้วจอดอยู่ 1 คัน ยางรถยนต์หลายเส้นและเสาคอนกรีตอีก 4 ต้นโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยร่วมกับโจทก์ตัดโค่น รื้อถอนต้นไม้เสาและสิ่งกีดขวางอื่น ๆ ดังกล่าวออกไปให้พ้นเส้นทางที่ศาลกำหนดนั้นแล้ว นอกจากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติแล้ว ยังขัดขวางมิให้โจทก์รื้อถอนเองขอให้จำเลยร่วมกับโจทก์ตัดโค่นรื้อถอนต้นไม้และสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ตามฟ้องออกไปให้พ้นเส้นทางที่ศาลกำหนดให้ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 52/2525 ของศาลชั้นต้น หากจำเลยไม่ยินยอมหรือเพิกเฉย ก็ให้โจทก์ดำเนินการได้แต่ฝ่ายเดียว โดยจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายร่วมกับโจทก์คนละครึ่ง และห้ามจำเลยและบริวารก่อหรือนำสิ่งอื่นใดมากีดขวางเส้นทางดังกล่าวแล้ว จนโจทก์ไม่สามารถใช้เส้นทางดังกล่าว ได้ โดยสะดวกอีก
จำเลยให้การว่า หลังจากโจทก์จำเลยขอให้ศาลไปดูสถานที่แล้วชี้ขาดเรื่องทางดังกล่าวได้โดยสะดวกอีก
จำเลยให้การว่า หลังจากโจทก์จำเลยขอให้ศาลไปดูสถานที่แล้วชี้ขาดเรื่องทางที่โจทก์จะมีสิทธิใช้ และได้ตกลงกำหนดเส้นทางกันไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลลงวันที่ 3 มิถุนายน 2529 ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่าไม่ประสงค์ให้ศาลกำหนดเส้นทางโดยขอถอนคำร้องเดิมแต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าตาม ที่ โจทก์และจำเลยแถลงขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบที่พิพาท และศาลชั้นต้นได้กำหนดเส้นทางเข้ายุ้งข้าวของโจทก์และจำเลยนั้นเป็นข้อตกลงภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ตามยอมไปแล้วและข้อตกลงดังกล่าวมิใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาดังกล่าว ดังนั้น ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยถือได้ว่าเป็นเรื่องนอกคดีศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ พิพากษาอุทธรณ์ของจำเลย คดีถึงที่สุดในชั้นศาลอุทธรณ์โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยปฏิบัติตามคำฟ้องของโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 52/2525ของศาลชั้นต้นได้ เพราะไม่มีผลผูกพันโจทก์กับจำเลยในชั้นบังคับคดี
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว โดยให้นำสำนวนคดีแพ่ง2 สำนวนดังกล่าวมาเป็นพยานศาลในคดีนี้ และให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยจำเลยยื่นคำแถลงโต้เแย้งคำสั่งดังกล่าวไว้แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมกับโจทก์ตัด โค่น รื้อถอนต้นไม้เสา และสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ตามฟ้องออกไปให้พ้นเส้นทางที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 52/2525 ของศาลชั้นต้น หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามให้โจทก์ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารก่อหรือนำสิ่งอื่นใดมากีดขวางเส้นทางดังกล่าวจนโจทก์ไม่สามารถใช้เส้นทางดังกล่าวได้โดยสะดวกอีกต่อไป คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาตามที่จำเลยฎีกาว่ารายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 3 มิถุนายน 2529ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 52/2525 ระหว่างโจทก์จำเลยคดีนี้ ซึ่งศาลชั้นต้นจดบันทึกไว้ภายหลังโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาคดีไปตามยอมแล้ว เป็นข้อตกลงที่มิได้ฟ้องร้องกันมาก่อน จึงเป็น ข้อตกลงนอกเรื่องนอกคดีหามีผลบังคับโจทก์จำเลยไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อตกลงที่ศาลจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่โจทก์จำเลยตกลงกันว่าจะปฏิบัติต่อกันรายงานกระบวนพิจารณาของศาลเป็นเพียงพยานหลักฐานว่ามีการตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจริงตามข้อความที่ปรากฎในรายงานกระบวนพิจารณานั้นว่าโจทก์จำเลยจะปฏิบัติต่อกันตามข้อตกลงนั้น ย่อมเป็นสัญญาอย่างหนึ่งภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติ ตามข้อตกลงนั้น ถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงของสัญญานั้นได้ ไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าโจทก์จำเลยตกลงกันเวลาใดและที่ใด
พิพากษายืน.

Share