คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2318/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ.2534 มาตรา 4, 6 (1) (2), 17 ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาจัดให้มีการเล่นแชร์หรือเป็นนายวงแชร์ที่แท้จริง ดังนี้ แม้ตามคำฟ้องตอนต้นระบุว่า จำเลยเป็นนายวงแชร์ 7 วง อันเป็นการจัดให้มีการเล่นแชร์มากกว่าสามวงและมีสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน และกระทำความผิดฐานฉ้อโกงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งเกี่ยวกับการจัดตั้งวงแชร์ของจำเลยต่อผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 7 และประชาชนทั่วไป แต่ในคำฟ้องต่อไปได้อธิบายถึงพฤติการณ์ของจำเลยว่า ความจริงจำเลยไม่มีสมาชิกครบตามจำนวนวงแชร์ดังที่จำเลยแจ้งต่อผู้เสียหายทั้งเจ็ดและผู้อื่น แต่จำเลยอ้างหรือจัดตั้งชื่อผู้มีชื่อขึ้นมาเป็นสมาชิกเพื่อให้ครบตามจำนวนสมาชิกวงแชร์ อันเป็นความเท็จ โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ผู้เสียหายทั้งเจ็ดและผู้อื่นหลงเชื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกวงแชร์เพื่อให้จำเลยได้เงินค่างวดแชร์จากผู้เสียหายแต่ละคน แสดงว่าจำเลยเพียงแต่อ้างการจัดให้มีการเล่นแชร์มาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่างวดแชร์ จำเลยมิได้มีเจตนาจัดให้มีการเล่นแชร์อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามที่โจทก์ระบุในตอนต้นของคำฟ้อง ทั้งตามฟ้องโจทก์มิได้บรรยายชัดแจ้งว่าบุคคลที่เข้าร่วมเล่นแชร์กับจำเลยและผู้เสียหายทั้งเจ็ดในแต่ละวงที่แท้จริงมีจำนวนเท่าใด จึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตกลงกันเป็นสมาชิกวงแชร์อันจะเป็นการเล่นแชร์ตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ.2534 มาตรา 4 ดังนี้ แม้จำเลยให้การรับสารภาพ เมื่อพฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องไม่อาจถือเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 341, 343 พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4, 6, 17 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินรวมทั้งสิ้น 105,000 บาท แก่ผู้เสียหายทุกคน และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 318/2547 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1) (2), 17 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นนายวงแชร์จัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนวงแชร์รวมกันมากกว่าสามวงและมีสมาชิกรวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน จำคุก 3 เดือน และฐานฉ้อโกงประชาชน จำคุกกระทงละ 6 เดือนรวม 7 กระทง เป็นจำคุก 42 เดือน รวมจำคุก 45 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 22 เดือน 15 วัน พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยถือเป็นภัยร้ายแรงก่อความเสียหายต่อประชาชนมุ่งเอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น หลังเกิดเหตุจำเลยตกลงเจรจาชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายเพียงบางคน และได้ชดใช้เป็นเงินจำนวนเล็กน้อย กรณีไม่มีเหตุอันควรรอการลงโทษจำเลย ให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 318/2547 หมายเลขแดงที่ 1171/2549 ของศาลชั้นต้น กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงินส่วนที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 16,000 บาท ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 16,000 บาท ผู้เสียหายที่ 3 จำนวน 16,000 บาท ผู้เสียหายที่ 4 จำนวน 15,000 บาท ผู้เสียหายที่ 5 จำนวน 15,000 บาท ผู้เสียหายที่ 6 จำนวน 15,000 บาท และผู้เสียหายที่ 7 จำนวน 12,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก ส่วนกำหนดโทษในความผิดฐานนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78แล้ว คงจำคุก 21 เดือน ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานเป็นนายวงแชร์จัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนรวมกันมากกว่าสามวงและจำนวนสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคนตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1) (2), 17 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4, 6 (1) (2), 17 การกระทำความผิดดังกล่าวผู้กระทำจะต้องมีเจตนาเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนรวมกันมากกว่าสามวงหรือมีสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคนโดยผู้กระทำความผิดต้องมีเจตนาจัดให้มีการเล่นแชร์หรือเป็นนายวงแชร์ที่แท้จริง แต่ตามคำฟ้องของโจทก์ได้อธิบายถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยว่า ความจริงจำเลยไม่มีสมาชิกครบตามจำนวนวงแชร์ที่จำเลยจัดตั้งดังที่จำเลยได้แจ้งต่อผู้เสียหายทั้งเจ็ดและผู้อื่น แต่จำเลยอ้างหรือจัดตั้งชื่อผู้มีชื่อขึ้นมาเป็นสมาชิกเพื่อให้ครบตามจำนวนสมาชิกวงแชร์ตามที่ได้กล่าวอ้างกับผู้เสียหายทั้งเจ็ดและผู้อื่น อันเป็นข้อความเท็จ โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ผู้เสียหายทั้งเจ็ดและผู้อื่นหลงเชื่อข้อความเท็จดังกล่าวเข้าร่วมเป็นสมาชิกวงแชร์และเพื่อให้จำเลยได้เงินค่างวดแชร์จากผู้เสียหายแต่ละคนใจความตามคำฟ้องโจทก์ที่บรรยายพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยเพียงแต่อ้างการจัดให้มีการเล่นแชร์มาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่างวดแชร์จากผู้เสียหายทั้งเจ็ดหรือผู้อื่น จำเลยมิได้มีเจตนาจัดให้มีการเล่นแชร์ตามข้อกล่าวอ้างอันเป็นองค์ประกอบความผิดต่อพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6 (1) (2) ตามที่โจทก์ได้ระบุเกริ่นไว้ในตอนต้นของคำบรรยายฟ้อง ทั้งตามฟ้องโจทก์มิได้บรรยายชัดแจ้งว่าบุคคลที่เข้าร่วมเล่นแชร์กับจำเลยและผู้เสียหายทั้งเจ็ดในแต่ละวงที่แท้จริงมีจำนวนเท่าใด จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตกลงกันเป็นสมาชิกวงแชร์อันจะเป็นการเล่นแชร์ตามพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ดังนี้ แม้จำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง เมื่อพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยในส่วนของความผิดต่อพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องไม่อาจถือเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ ย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องสำหรับข้อหาดังกล่าวจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share