คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิม ที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งย้ายเข้าบ้านที่แจ้งไว้ในกรุงเทพมหานครจึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด ทั้งยังได้ความว่าจำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียว มิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนา ต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ที่บ้านเดิม ที่จังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งอยู่ในเขตศาลจังหวัดบุรีรัมย์ โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 79,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ หลักฐานการกู้ยืมท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่โจทก์กับพวกสมคบกันทำขึ้น ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ15 ต่อปี ขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยและสัญญากู้เอกสารท้ายฟ้องมิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามกฎหมายจะนำมาฟ้องร้องไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์จำนวน 79,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 79,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาข้อแรกว่า จำเลยได้แจ้งย้ายภูมิลำเนาจากบ้านเลขที่ 109 หมู่ 1 ตำบลและอำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ไปอยู่บ้านเลขที่ 3/1293 ตำบลคลองถนน อำเภอบางเขนกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2528 ตามเอกสารหมาย จ.1โจทก์ฟ้องวันที่ 24 กันยายน 2528 หลังจากจำเลยย้านภูมิลำเนา1 เดือน จึงถือได้ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลแพ่งโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์นั้น ได้ความว่าทนายโจทก์ไปยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนท้องถิ่นเขตบางเขนขอคัดสำเนาทำเบียนบ้านดังกล่าว ปรากฏว่าเจ้าหนี้ที่หาเลขที่บ้าน 3/1293 ตำบลคลองถนน อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ที่จำเลยแจ้งประสงค์จะย้ายเข้าไปพบตามเอกสารหมาย จ.3 ทนายโจทก์จึงขอคัดสำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ 3/1193 หมู่ 6 ตำบลคลองสาน อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ซึ่งโจทก์ทราบจากนายสมชาย มันตาเสรี บุตรจำเลย ปรากฏว่าเป็นบ้านของนางสาววรรษมน มันตาเสรี บุตรสาวจำเลยแต่ไม่มีชื่อจำเลยย้ายเข้าด้วย ตามเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งนายทะเบียนท้องถิ่นรับรองสำเนาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2528 ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยแจ้งย้ายออกจากบ้านเดิมที่จังหวัดบุรีรัมย์แล้วไม่แจ้งย้ายเข้าบ้านที่แจ้งไว้ใน กรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยไปอยู่ที่ใด ทั้งยังได้ความว่า จำเลยแจ้งย้ายออกเฉพาะตัวจำเลยคนเดียว มิได้แจ้งย้ายครอบครัวไปด้วย แสดงว่าไม่มีเจตนาย้ายถิ่นที่อยู่และจงใจจะเปลี่ยนภูมิลำเนาต้องถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาครั้งสุดท้ายอยู่ที่บ้านเลขที่ 109 หมู่ 1 ตำบลพุทไธสง อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจจังหวัดบุรีรัมย์โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลดังกล่าวได้
จำเลยฎีกาต่อไปว่า ข้อตกลงในสัญญากู้ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเมื่อจำเลยผิดนัดในอัตราสูงสุดของธนาคารเป็นโมฆะ เพราะอัตราดอกเบี้ยของธนาคารสูงกว่าร้อยละสิบห้าต่อปีที่เอกชนผู้ให้กู้จะเรียกร้องเอาได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ข้อตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดข้อกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ มีผลให้โจทก์หมดสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาได้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นหนี้เงินซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ให้คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้ดอกเบี้ยตามบทกฎหมายดังกล่าว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน.

Share