คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2318/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปรากฎว่าหนังสือการโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินเป็นเอกสารที่โจทก์มีหน้าที่ต้องถ่ายสำเนาแพร่ให้สำนักงานการคลังซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบการที่โจทก์ไม่กระทำตามหน้าที่จนมีการจ่ายเงินผิดพลาดถือว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อบกพร่องต่อหน้าที่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายจำเลยมีคำสั่งลงโทษทางวินัยแก่โจทก์และให้โจทก์รับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันที่14 มิถุนายน 2520 ตำแหน่งพนักงานธุรการ 3 ประจำกองนิติกรรมสำนักงานกฎหมาย ได้รับเงินเดือนเดือนละ 13,440 บาท มีหน้าที่งานสารบรรณประจำกองนิติกรรม สำนักงานกฎหมาย เมื่อวันที่10 เมษายน 2535 จำเลยมีคำสั่งที่ 209/2535 ลงโทษโจทก์ทางวินัยโดยให้ว่ากล่าวตักเตือนและให้รับผิดชดใช้ทางแพ่งเป็นเงินจำนวน 75,273.09 บาท โดยกล่าวหาว่าโจทก์มีหน้าที่ออกเลขที่หนังสือแจ้งให้บริษัทสตาร์เท็กซ์ไทล์ จำกัด และธนาคารกรุงไทย จำกัด รับทราบถึงการโอนสิทธิเรียกร้องแล้วไม่ส่งเรื่องให้เจ้าของเรื่องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อแพร่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าสำนักงานการคลังไม่ได้รับเอกสารการโอนสิทธิเรียกร้องจึงทำให้มีการจ่ายเงินผิดพลาดในครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ต่อมาจำเลยมีคำสั่งตัดเงินค่าจ้างโจทก์เดือนละ 888.30 บาท โดยเริ่มตัดเงินดังกล่าวตั้งแต่เดือนธันวาคม 2538 เป็นต้นมาโจทก์ทักท้วงและไม่ยินยอมให้ตัดเงินค่าจ้าง แต่จำเลยเพิกเฉยโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่จำเลยกล่าวหา เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น คำสั่งของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการฝ่าฝืนสัญญาจ้าง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 209/2535 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโจทก์ และให้จำเลยคืนเงินค่าจ้างในส่วนของโจทก์ที่จำเลยหักไว้คืนแก่โจทก์ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่จำเลยหักเงินค่าจ้างโจทก์ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นพนักงานธุรการ ประจำสำนักงานกฎหมายของจำเลย มีหน้าที่ออกเลขที่หนังสือและนำหนังสือที่ออกเลขที่คืนให้นิติกรในแผนกนิติกรรมดำเนินการเผยแพร่ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ จำเลยซื้อผ้าตัดเครื่องแบบพนักงานจากบริษัทสตาร์เท็กซ์ไทล์จำกัด แล้วมีการโอนสิทธิในการรับเงินค่าผ้าจากบริษัทดังกล่าวให้แก่ธนาคารกรุงไทยจำกัดแต่โจทก์มิได้นำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวเวียนให้หน่วยงานอื่นและสำนักงานการคลังทราบ เป็นเหตุให้สำนักงานการคลังจ่ายเงินผิดพลาดโดยจ่ายให้แก่บริษัทสตาร์เท็กซ์ไทล์จำกัด ไปในงวดที่ 2 และงวดที่ 3 รวมเป็นเงิน 1,806,554.16บาท และต่อมาบริษัทสตาร์เท็กซ์ไทล์ จำกัด ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถทวงเงินคืนจากบริษัทดังกล่าวได้ การที่โจทก์ละเลยไม่เวียนหนังสือการโอนสิทธิในการรับเงินให้สำนักงานการคลังทราบทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและการที่จำเลยให้โจทก์รับผิดชอบทางแพ่งชดใช้เงินเพียง 75,273.09บาท เป็นคุณแก่โจทก์อยู่แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์มีหน้าที่แพร่เอกสารสัญญาต่าง ๆ ในกองนิติกรรมไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบโดยโจทก์จะต้องถ่ายสำเนาสัญญาเสนอเจ้าหน้าที่ผู้ทำสัญญาให้รับรองสำเนาก่อนแล้วจึงมีการแพร่สัญญา แต่โจทก์ไม่ได้ถ่ายสำเนาสำเนาหนังสือการโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินตามเอกสารหมาย ล.4 หรือ จ.3 ให้ เจ้าหน้าที่ผู้ทำสัญญาให้รับรองสำเนาเพื่อแพร่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบถือได้ว่าโจทก์บกพร่องต่อหน้าที่ทั้งหนังสือการโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินดังกล่าว แม้ไม่ใช่สัญญาจ้างแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างและเป็นเอกสารสำคัญ เมื่อโจทก์มีหน้าที่ต้องถ่ายสำเนาสัญญาแพร่แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ แต่ไม่กระทำตามหน้าที่จนมีการจ่ายเงินผิดพลาดในการจ่ายเงินในงวดที่ 2ถึงงวดที่ 4 นั้น ถือว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อ บกพร่องต่อหน้าที่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 209/2535 ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยข้อแรกตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า หนังสือมอบหมายงานเอกสารหมาย ล.19 หรือ จ.12 ระบุหน้าที่ของโจทก์ตามข้อ 4.4ว่า “ถ่ายเอกสารสัญญาแพร่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” หนังสือการโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินตามเอกสารหมาย ล.4 หรือจ.3 มิใช่สัญญา โจทก์จึงหามีหน้าที่จะต้องแพร่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบไม่เห็นว่า หนังสือมอบหมายงานในแผนกนิติกรรมเอกสารหมาย ล.19 หรือ จ.12 ข้อ 4.4 ระบุให้โจทก์มีหน้าที่ถ่ายเอกสารสัญญาแพร่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อพิเคราะห์เอกสารหมาย ล.4 หรือ จ.3 เรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินที่จำเลยมีถึงธนาคารกรุงไทย จำกัด กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด แจ้งให้จำเลยทราบว่า บริษัทสตาร์เท็กไทล์จำกัด ได้ตกลงโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าซื้อขายผ้าตัดเครื่องแบบพนักงาน ตามสัญญาซื้อขาย ลงวันที่ 10 มกราคม2533 จำนวนเงินทั้งสิ้น 5,283,738.20 บาท ให้แก่ธนาคารกรุงไทย จำกัด เพื่อเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่แก่ธนาคารดังกล่าวจำเลยได้รับทราบและยินยอมให้บริษัทดังกล่าวโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินตามสัญญาซื้อขายให้แก่ธนาคารดังกล่าว จึงเรียนมาเพื่อทราบ ตามเอกสารหมาย ล.4 หรือ จ.3 นี้ถือได้ว่าเป็นเอกสารสำคัญ เพราะเป็นกรณีที่จำเลยรับทราบการที่บริษัทสตาร์เท็กซ์ไทล จำกัด ได้ตกลงโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าซื้อขายผ้าตัดเครื่องแบบพนักงานที่บริษัทดังกล่าวได้ทำไว้กับจำเลยตามสัญญาซื้อขายเอกสาร ล.2 ให้แก่ธนาคารกรุงไทยจำกัด อีกทั้งจำเลยก็ตกลงยินยอมให้บริษัทดังกล่าวโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวให้แก่ธนาคารดังกล่าวนั้นได้ กรณีถือได้ว่าหนังสือการโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินตามเอกสารหมาย ล.4 หรือ จ.3 นี้ เป็นเอกสารสัญญาอีกฉบับหนึ่งซึ่งประกอบเกี่ยวเนื่องกับสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.2 เดิมนั่นเอง แม้ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยว่า เอกสารดังกล่าวไม่ใช่สัญญาจ้างแต่เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างตามเอกสารหมาย ล.2 ก็ตาม กรณีก็ถือได้ว่าเป็นเอกสารสัญญาอีกฉบับหนึ่งที่โจทก์มีหน้าที่ต้องถ่ายสำเนาแพร่ให้สำนักงานการคลังซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบด้วยที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า หนังสือการโอนสิทธิเรียกร้องการรับเงินเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขาย โจทก์มีหน้าที่ต้องถ่ายสำเนาและแพร่แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสำนักงานการคลังให้ทราบ การที่โจทก์ไม่กระทำตามหน้าที่จนมีการจ่ายเงินผิดพลาดถือว่าโจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อบกพร่องต่อหน้าที่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 209/2535 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโจทก์นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share