คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2315/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสองครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปีแล้วแม้จะครอบครองโดยสำคัญผิดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสองเอง หากแต่ต้องถือว่าเป็นการครอบครองที่ดินของบุคคลอื่น ดังนี้โจทก์ทั้งสองย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามนัยแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยรู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของบุคคลอื่นไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยนำรถแทรกเตอร์ไถคันดินและทำลายต้นไม้ของโจทก์ทั้งสองคิดเป็นเนื้อที่ 2 งาน 89 ตารางวา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 362, 363, 365, 90, 91 และพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองของโจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทภายใน 7 วัน นับแต่วันทราบคำบังคับ และห้ามเกี่ยวข้องอีก
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 5517 ของจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวห้ามเกี่ยวข้อง และให้ยกฟ้องในส่วนอาญา
จำเลยอุทธรณ์ในคดีส่วนแพ่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยในข้อกฎหมายว่าการที่โจทก์ทั้งสองครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นของจำเลยโดยเข้าใจว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้วดังนี้ โจทก์ทั้งสองจะได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองครอบครองที่พิพาทโดยเข้าใจว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสองแล้ว โจทก์ทั้งสองจะครอบครองมานานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เพราะตามหลักของบทมาตราดังกล่าวจะต้องเป็นการครอบครองที่ดินของบุคคลอื่นเท่านั้นเห็นว่าการวินิจฉัยข้อกฎหมายเช่นว่านี้ศาลฎีกาจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดของจำเลย แต่ถูกโจทก์ทั้งสองครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมากว่า 10 ปีแล้ว เห็นว่าเมื่อที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดของจำเลย แต่โจทก์ทั้งสองครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว แม้โจทก์ทั้งสองจะครอบครองโดยสำคัญผิดว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสองเองหากแต่ต้องถือว่าโจทก์ทั้งสองครอบครองที่ดินของบุคคลอื่น ดังนี้ โจทก์ทั้งสองย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยโจทก์ทั้งสองต้องรู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของจำเลยด้วยไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share