แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมจำเลยเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจาก ส. ต่อมาได้ตกลกเลิกสัญญาเช่าต่อกันและมีการทำสัญญาเช่ากันใหม่โดย จ.พี่ชายจำเลยเป็นผู้เช่าจาก ก. เจ้าของที่ดินและตึกพิพาท แต่จำเลยยังคงอยู่ในตึกพิพาทโดยอาศัยสัญญาเช่าระหว่าง จ. กับ ก. โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินและตึกพิพาทจาก ก.ภายหลังที่จำเลยกับ ส.เลิกสัญญาเช่าต่อกันแล้ว จำเลยย่อมไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าตึกพิพาท ดังนี้ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยโดยไม่ฟ้อง จ. ผู้เช่าไม่ได้และจะเรียกค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหายที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่าก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน
จำเลยอ้างเอกสารที่แสดงการยกเลิกเพิกถอนสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับ ส. เป็นพยานหลักฐาน แม้จำเลยจะมิได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานนักแรกไม่น้อยกว่า 3 วัน อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 แต่เมื่อเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ทั้งการรับฟังก็ไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบแต่ประการใด เพราะจำเลยได้อ้างก่อนสืบพยานโจทก์ และส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานจำเลย โจทก์ยังมีโอกาสที่จะขออนุญาตต่อศาลสืบหักล้างได้อยู่ ดังนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติกรรม ศาลจึงรับฟังเอกสารนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึกแถวเลขที่ ๒๕๖ จากนายสุรอมัตซิงห์ ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๑๓ โจทก์รับซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวเลขที่ดังกล่าวพร้อมที่ดินจากนายกรดิษฐ์ โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบว่าถ้าสัญญาเช่าครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่เช่าและชำระค่าเช่าที่ค้างตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๓ ภายใน ๑๕ วันแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมออกจากห้องเช่าจึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยพร้อมด้วยบริวาร ให้จำเลยใช้ค่าเช่าและค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า นายสุรอมัตซิงห์ไม่ใช่เจ้าของตึกและที่ดิน จึงไม่มีอำนาจให้เช่า จำเลยไม่ได้เช่าตึกพิพาทจากนายสุรอมัตซิงห์ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญาเช่าตึกพิพาทจายนายสุรอมัตซิงห์ ตามเอกสารหมาย จ.๔ คู่ฉบับหมาย ล.๒ มีกำหนด ๓ ปี ต่อมาวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ นายสุรอมัตซิงห์และจำเลยตกลงเลิกสัญญาเช่าต่อกันโดยได้มีการหมายเหตุยกเลิกสัญญาเช่าไว้ในเอกสารหมาย ล.๒ และมีการทำสัญญาเช่ากันใหม่โดยนายเจริญพี่ชายจำเลยเป็นผู้เช่าจากนายกุรดิษฐ์ซึ่งมีชื่อคือกรรมสิทธิที่ดินและตึกพิพาทในโฉนดโจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทจากนายกุรดิษฐ์ภายหลังที่จำเลยกับนายสุรอมัตซิงห์เลิกสัญญาเช่าต่อกันแล้ว แต่จำเลยยังคงอยู่ในตีกพิพาทต่อมาโดยอาศัยสัญญาเช่าระหว่างนายเจริญกับนายกุรดิษฐ์ เพราะจำเลยเป็นหุ้นส่วนทำการค้าอยู่กับนายเจริญ นายกุรดิษฐ์ผู้ขายได้มอบสัญญาเช่าหมาย จ.๔ ให้โจทก์ไว้ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับนายสุรอมัตซิงห์ ถูกยกเลิกเพิกถอนไปแล้วตามเอกสารหมาย ล.๒ ตั้งแต่ก่อนโจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทจากนายกุรดิษฐ์ จำเลยย่อมไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เช่าตึกพิพาทนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยโดยไม่ฟ้องนายเจริญผู้เช่าไม่ได้ และจะเรียกค่าเช่าจากจำเลยตลอดระยะเวลานั้น กับค่าเสียหายที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่เช่าก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลไม่ควรรับฟังเอกสารหมาย ล.๒ เพราะจำเลยมิได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานนัดแรกไม่น้อยกว่า ๓ วัน และนำต้นฉบับมาแสดงต่อศาลในวันนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจาณณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ ,๑๒๕ นั้น เห็นว่า เอกสารหมาย ล.๒ นี้เป็นเอกสารที่ยกเลิกเพิกถอนสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับนายสุรอมัตซิงห์เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี ทั้งการรับฟังก็ไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบแต่ประการใด เพราะเอกสารหมาย ล.๒ นี้ จำเลยได้อ้างก่อนสืบพยานโจทก์ และส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานจำเลย โจทก์ยังมีโอกาสที่จะขออนุญาตต่อศาลสืบหักล้างได้อยู่ และเมื่อได้พิเคราะห์ตามเอกสาร ล.๒ มีการขีดฆ่าสัญญาเช่า เขียนคำว่า “ยกเลิก” ลงลายมือชื่อฝ่ายนายสุรอมัตซิงห์ผุ้ให้เช่าไว้โดยชัดแจ้ง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติกรรม จึงจึงรับฟังตามเอกสารหมาย ล. ๒ นี้ได้ แม้จะเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๐ ทั้งนี้ ตามมาตรา ๘๗(๒) ทั้งกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา ๑๒๕ พิพากษายืน
(ปรีชา สุมาวงศ์ สงวน สิทธิไชย อุดม จาละ)