แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เรือยนต์ของกลางเมื่อจำเลยใช้เป็นเพียงพาหนะไปปล้น ไม่ได้ใช้ร่วมในการกระทำผิดด้วย แม้จำเลยจะได้ใช้เป็นเรือขนทรัพย์ที่ปล้นมาก็จริงก็เป็นการใช้เป็นพาหนะไปมาทำนองเดียวกันเท่านั้น จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรริบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีก 9 คนมีศาสตราวุธทำการปล้นทรัพย์และทำร้ายนางฟู หุ้ยตี้น กับพวก ชิงทรัพย์ไปรวมราคา 13,726 บาท
ในการปล้นนี้จำเลยกับพวกได้ใช้เรือยนต์ของจำเลยชื่อสินนาทะเลเป็นพาหนะ โดยสารไปทำการปล้นและเมื่อปล้นได้ทรัพย์แล้วจำเลยได้ใช้เรือดังกล่าวเป็นพาหนะบรรทุกทรัพย์ที่ปล้นได้และโดยสารหลบหนีไป ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 301 ฯลฯ ให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายและริบเรือยนต์ของกลาง
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 301 ฯลฯ ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 10 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายและริบเรือยนต์ ซึ่งจำเลยใช้เป็นพาหนะบรรทุกทรัพย์ที่ได้จากการปล้นด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้คืนเรือของกลางแก่จำเลย นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาว่าควรริบเรือของกลาง เพราะตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาย่อมอยู่ในความหมายของกฎหมายว่า เป็นของที่ใช้ในการกระทำผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 27 ซึ่งเป็นของที่ควรต้องริบ
ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง ส่วนเรือของกลางที่โจทก์ขอให้ริบนั้น จำเลยใช้เป็นเพียงพาหนะไปปล้นไม่ได้ใช้ร่วมในการกระทำผิดด้วย แม้จำเลยจะได้ใช้เป็นเรือขนทรัพย์ที่ปล้นมาก็จริงก็ใช้เป็นพาหนะไปมาทำนองเดียวกัน จึงเป็นส่วนที่ไม่ควรริบ
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์