คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เรือยนต์ของกลางเมื่อจำเลยใช้เป็นเพียงพาหนะไปปล้น ไม่ได้ใช้ร่วมในการกระทำผิดด้วย แม้จำเลยจะได้ใช้เป็นเรือขนทรัพย์ที่ปล้นมาก็จริงก็เป็นการใช้เป็นพาหนะไปมาทำนองเดียวกันเท่านั้น จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรริบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีก 9 คนมีศาสตราวุธทำการปล้นทรัพย์และทำร้ายนางฟู หุ้ยตี้น กับพวก ชิงทรัพย์ไปรวมราคา 13,726 บาท

ในการปล้นนี้จำเลยกับพวกได้ใช้เรือยนต์ของจำเลยชื่อสินนาทะเลเป็นพาหนะ โดยสารไปทำการปล้นและเมื่อปล้นได้ทรัพย์แล้วจำเลยได้ใช้เรือดังกล่าวเป็นพาหนะบรรทุกทรัพย์ที่ปล้นได้และโดยสารหลบหนีไป ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 301 ฯลฯ ให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายและริบเรือยนต์ของกลาง

จำเลยปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 301 ฯลฯ ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 10 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายและริบเรือยนต์ ซึ่งจำเลยใช้เป็นพาหนะบรรทุกทรัพย์ที่ได้จากการปล้นด้วย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้คืนเรือของกลางแก่จำเลย นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกาว่าควรริบเรือของกลาง เพราะตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาย่อมอยู่ในความหมายของกฎหมายว่า เป็นของที่ใช้ในการกระทำผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 27 ซึ่งเป็นของที่ควรต้องริบ

ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง ส่วนเรือของกลางที่โจทก์ขอให้ริบนั้น จำเลยใช้เป็นเพียงพาหนะไปปล้นไม่ได้ใช้ร่วมในการกระทำผิดด้วย แม้จำเลยจะได้ใช้เป็นเรือขนทรัพย์ที่ปล้นมาก็จริงก็ใช้เป็นพาหนะไปมาทำนองเดียวกัน จึงเป็นส่วนที่ไม่ควรริบ

พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share