คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2307/2530

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้มีดถางไร่ฟันถูกที่ศีรษะผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย แม้จะฟันเพียงทีเดียว แต่ปรากฏว่ากะโหลกศีรษะแตก แสดงว่าจำเลยพันโดยแรง ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าการที่ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายเพราะได้รับการรักษาจากแพทย์ทันท่วงที การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยได้ใช้มีดถางไร่ฟันผู้เสียหาย 1 ที จริงตามที่โจทก์นำสืบมา ที่จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่ว่าในคืนเกิดเหตุจำเลยได้ไปนอนค้างคืนอยู่ที่บ้านบิดาซึ่งอยู่คนละแห่งกับบ้านที่เกิดเหตุนั้น คงมีจำเลยเพียงปากเดียวมาเบิกความดังกล่าวไม่มีพยานอื่นใดมาสนับสนุนจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังไปหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ การที่จำเลยใช้มีดถางไร่ฟันถูกที่ศีรษะผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย แม้จะฟันเพียงทีเดียว แต่ปรากฏว่ากระโหลกศีรษะแตก ปรากฏตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง แสดงว่าจำเลยฟันโดยแรงซึ่งอาจถึงแก่ความตายได้ จึงเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ที่ผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายเพราะได้รับการรักษาจากแพทย์ทันท่วงที การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ใช้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น”

Share