แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะตกลงให้จำเลยที่ 3 รับเหมาช่วงงานก่อสร้างบางส่วนแต่ตามข้อเท็จจริงมีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 3 ผู้รับเหมาช่วงออกแสดงเป็นตัวแทนหรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 3 เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากโจทก์ เมื่อโจทก์ เชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยที่ 3 ได้สั่งซื้ออุปกรณ์การก่อสร้าง จากโจทก์แทนและในนามจำเลยที่ 1 มิใช่กระทำเป็นส่วนตัว ของจำเลยที่ 3 แต่อย่างใด จำเลยที่ 1 ตัวการจึงต้องรับผิด ในผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทน จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระราคาค่าสินค้าที่ค้างชำระให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และเป็น หุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ด้วย แต่จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทน หรือตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ในการติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์ การก่อสร้างจากโจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระ เงินค่าสินค้าที่ค้างชำระแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยโดยมิได้ กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ดำเนินกิจการก่อสร้าง ร่วมกัน กรณีจึงเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุที่จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ดำเนินกิจการก่อสร้างร่วมกันตามที่โจทก์ยกขึ้นอ้างในฎีกา ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นฎีกาในเรื่องที่เกินไปกว่า หรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ เป็นข้อที่มิได้ ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน329,809 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ต่อปี นับตั้งแต่ผิดนัดวันที่ 1 มกราคม 2533 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 36,193 บาทและอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยเกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อ รับของหรือตัดทอนบัญชีค่าสินค้ากับโจทก์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จึงไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ทำบัญชีรายจ่ายค่าแรงงานคนงาน ค่าวัสดุอุปกรณ์ พนักงานของจำเลยที่ 1 และที่ 2เป็นผู้สั่งซื้อและลงลายมือชื่อในใบส่งของจำเลยที่ 3 และพนักงานของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำไปในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินจำนวน329,809 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง (17 มิถุนายน 2534) ไม่ให้เกินจำนวน36,193 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชำระเงิน 329,809 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2522 (ที่ถูกเป็น 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง (วันที่ 17 มิถุนายน 2534) ไม่ให้เกิน 36,193 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3
โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์ประกอบอาชีพค้าขายไม้และวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างใช้ชื่อร้านว่า ไชยเจริญค้าไม้ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญารับจ้างเหมาก่อสร้างอาคารสถานที่โรงกรองน้ำ 2การประปาสุรินทร์ กับการประปาส่วนภูมิภาคส่วนกลางผู้ว่าจ้างในการก่อสร้างอาคารสถานที่โรงกรองน้ำดังกล่าวนี้ได้มีการสั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างและเครื่องใช้ต่าง ๆ จากโจทก์เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างรวม 303 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น1,169,994 บาท ในการส่งสินค้าที่สั่งซื้อถ้าจำนวนน้อยผู้สั่งซื้อจะรับไปเอง ถ้าเป็นจำนวนมากโจทก์ได้ส่งสินค้า ณ สถานที่ก่อสร้างต่อมาได้มีการคิดหักทอนบัญชีชำระราคาค่าสินค้าแล้วโจทก์ได้รับชำระราคาค่าสินค้าที่สั่งซื้อไปจากโจทก์รวม 7 ครั้ง เป็นเงิน840,185 บาท คงค้างชำระราคาสินค้าอยู่แก่โจทก์เป็นเงิน 329,809 บาท ตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เสียก่อน ซึ่งปัญหาตาม ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เชิดจำเลยที่ 3 ออกแสดงเป็นตัวแทนหรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 3 เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างไปจากโจทก์อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมกันรับผิดชำระราคาค่าสินค้าที่ค้างแก่โจทก์หรือไม่ หรือว่าจำเลยที่ 3 ซื้อเป็นส่วนตัวอันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ผู้เดียวที่ต้องรับผิดชำระราคาค่าสินค้าที่ค้างแก่โจทก์ เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวได้ความตามคำเบิกความของนางเตียง รุ่งวิจิตรกุล มารดาโจทก์ซึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการร้านค้าของโจทก์และเป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ และนางสาวสุวรรณี รุ่งวิจิตรกุล น้องสาวโจทก์ซึ่งเป็นผู้ช่วยดูแลกิจการร้านค้าและลูกหนี้ของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับจ้างเหมาก่อสร้างอาคารสถานที่โรงกรองน้ำ 2 การประปาสุรินทร์ ตั้งอยู่ที่ถนนสายสุรินทร์-ปราสาท ในการนี้จำเลยที่ 3 ไปติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากโจทก์แทนและในนามจำเลยที่ 1 เพื่อใช้ในงานก่อสร้างดังกล่าว ตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.305 ในการจัดส่งวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างให้จำเลยที่ 1 นั้น โจทก์ได้จัดส่งให้ ณ สถานที่ก่อสร้างซึ่งมีป้ายเขียนข้อความไว้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและได้ความจากนายเวียง ปัญญาไว พยานโจทก์ ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์บรรทุกวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างไปส่งให้จำเลยที่ 1 อีกว่า ณ สถานที่ก่อสร้างนั้นมีป้ายเขียนข้อความไว้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและมีป้ายที่สำนักงานของจำเลยที่ 1 ด้วย บุคคลภายนอกผ่านไปมาก็ทราบได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารโรงกรองน้ำ 2 ดังกล่าวนี้ ซึ่งความข้อนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบรับโดยจำเลยที่ 2 เบิกความว่าที่สำนักงานของจำเลยที่ 1 ตั้งอยู่ในบริเวณที่ก่อสร้างมีป้ายปิดประกาศว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ประชาชนผ่านไปมาก็ทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารสถานที่โรงกรองน้ำ 2 ดังกล่าวดังนี้ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะตกลงให้จำเลยที่ 3 รับเหมาช่วงงานก่อสร้างบางส่วน แต่ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นได้ว่าในการรับเหมาก่อสร้างนี้จำเลยที่ 1 ได้แสดงออกต่อบุคคลทั้งหลายทั่วไปว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำการเองโดยมีสำนักงานของจำเลยที่ 1 อยู่ในบริเวณสถานที่ก่อสร้างและได้จัดทำป้ายเขียนข้อความไว้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อสร้าง คดียังได้ความตายคำเบิกความของจำเลยที่ 2 อีกว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดูแลงานก่อสร้างทั้งหมด ในการส่งมอบงานก่อสร้างและการรับเงินค่างวดงานจากผู้ว่าจ้าง จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำเองทั้งหมด และเมื่องานก่อสร้างแล้วเสร็จจำเลยที่ 1 เป็นผู้ส่งมอบงานให้ผู้ว่าจ้างโดยตรงทั้งตามใบส่งของเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.305 ดังกล่าวข้างต้นก็ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 1 โดยวงเล็บชื่อจำเลยที่ 3 เป็นผู้ซื้อกับยังได้ความอีกว่าจำเลยที่ 3 ได้ติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากโจทก์ตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทั่งการก่อสร้างแล้วเสร็จและจำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบงานก่อสร้างให้ผู้ว่าจ้าง จึงยิ่งเป็นข้อแสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่าการที่จำเลยที่ 3 ติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างไปจากโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ย่อมจะรู้เห็นตลอดมา แต่ก็มิได้ห้ามปรามหากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ไม่รู้เห็นยินยอม เชื่อว่าจำเลยที่ 3 คงไม่อาจกระทำเช่นนั้นได้ ตามพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมาแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เชิดจำเลยที่ 3 ผู้รับเหมาช่วงออกแสดงเป็นตัวแทนหรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 3 เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากโจทก์ ทางพิจารณาโจทก์มีพยานทั้งบุคคลและเอกสารมานำสืบกับจำเลยที่ 2 เบิกความรับ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้สั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากโจทก์ไปใช้ในการก่อสร้างที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับจ้างเหมาก่อสร้างอาคารสถานที่โรงกรองน้ำ 2 จากการประปาส่วนภูมิภาคส่วนกลางผู้ว่าจ้างข้อที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบและอ้างในฎีกาว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้วว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับเหมาช่วงและจำเลยที่ 3 ติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากโจทก์เป็นส่วนตัวไม่ใช่ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 นั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 คงมีแต่พยานบุคคลเบิกความลอย ๆ หาได้มีหลักฐานการเสนอขอรับช่วงงานของจำเลยที่ 3 หรือหลักฐานที่โจทก์ทราบมาแสดงให้สมดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กล่าวอ้างไม่ทำให้ขาดน้ำหนักในการรับฟังจากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ดังวินิจฉัยมา คดีรับฟังได้ว่า โจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยที่ 3ได้สั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากโจทก์แทนและในนามจำเลยที่ 1มิใช่กระทำเป็นส่วนตัวของจำเลยที่ 3 แต่อย่างใด จำเลยที่ 1ตัวการจึงต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทนเหตุนี้จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระราคาค่าสินค้าที่ค้างชำระให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และเป็นหุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ด้วย ถึงแม้นางสาวสุวรรณีพยานโจทก์จะเบิกความว่าหลังจากงานก่อสร้างเสร็จแล้ว โจทก์และนางเตียงผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ไปหาผู้จัดการการประปาสุรินทร์ให้ช่วยติดต่อจำเลยที่ 2 หักเงินของจำเลยที่ 3 เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นข้อแสดงว่าภายหลังโจทก์ได้ทราบว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับเหมาช่วงดังที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยกขึ้นอ้างในฎีกา ก็หาเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 หลุดพ้นความรับผิดไม่ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 3 ออกแสดงเป็นตัวแทนหรือรู้แล้วยอมให้จำเลยที่ 3 เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างไปจากโจทก์หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวชำระราคาค่าสินค้าแก่โจทก์ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1และที่ 2 ยกขึ้นอ้างในฎีกาพฤติการณ์และข้อเท็จจริงไม่เหมือนกับคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมรับผิดชำระหนี้ราคาค่าสินค้าที่ค้างชำระให้แก่โจทก์และยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 ติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากโจทก์เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างตลอดจนจัดทำบัญชีค่าวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 และจำเลยที่ 2 ได้มอบเงินให้จำเลยที่ 3 ชำระราคาค่าสินค้าแก่โจทก์ ทั้งจำเลยที่ 3 ได้รับส่วนแบ่งเงินค่าจ้างเพื่อจำเลยที่ 1 ส่งมอบงานก่อสร้างและเบิกเงินค่าจ้างจากผู้ว่าจ้างตามแต่ละงวดงาน จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ดำเนินกิจการก่อสร้างร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ซึ่งทุกคนจะต้องมีความผูกพันร่วมรับผิดชำระราคาค่าสินค้าต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดชำระราคาค่าสินค้าที่ค้างชำระให้แก่โจทก์ด้วยนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนหรือตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 ในการติดต่อซื้อวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างจากโจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินค่าสินค้าที่ค้างชำระแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย มิได้กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ดำเนินกิจการก่อสร้างร่วมกันตามคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นที่เห็นได้ว่า โจทก์มิได้ฟ้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุที่จำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ดำเนินกิจการก่อสร้างร่วมกันตามที่โจทก์ยกขึ้นอ้างในฎีกา ฎีกาของโจทก์ดังกล่าว จึงเป็นฎีกาในเรื่องที่เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน และให้ยกฎีกาโจทก์