แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตามโฉนดที่ดินจะมีชื่อโจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม แต่เมื่อโจทก์จำเลยต่างแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัดแล้ว ก็ชอบที่จะแบ่งที่ดินบริเวณที่โจทก์ครอบครองนั้นให้แก่โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์เนื้อที่ ๒ งาน ๗ ตารางวา ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๐๗ ตำบลพานทอง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องนางอุไร ตัณยกุล ตกลงขายให้จำเลยก่อน จำเลยได้ครอบครองตลอดมาเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โจทก์นำดินเข้าไปถมในบริเวณที่ดินตามแผนที่พิพาทและปลูกบ้าน จำเลยห้ามปรามแล้ว แต่โจทก์ไม่เชื่อฟัง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ บังคับโจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง และห้ามเกี่ยวข้องอีก
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้กระทำละเมิดต่อจำเลยขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย จำเลยไม่สามารถฟ้องแย้งให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาทได้ พิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๐๗ ตำบลพานทองอำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ตามแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าหน้าที่ของศาลทำขึ้นในเขตสี่เหลี่ยมหมายเลข ๑, ๒, ๘, ๗ รวมเนื้อที่ไม่เกิน ๒๐๗ ตารางวา ให้โจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๐๗ ตำบลพานทองอำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น ๗ ไร่ ๑ งาน ๗๖ ตารางวา ตามโฉนดมีชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ๓ คน ได้แก่โจทก์ จำเลยและนางอุไร ตัณยกุล โดยโจทก์มีส่วน ๒๐๗ ส่วน คิดเป็นเนื้อที่ ๒๐๗ ตารางวา ในจำนวนที่ดินทั้งหมด ๒,๗๖๙ ส่วน สำหรับประเด็นที่ว่าโจทก์หรือจำเลยผู้ใดมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่ากันซึ่งจำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าโจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยนั้น เห็นว่า โจทก์มีนายสุรินทร์ ศรีวิเชียร รับราชการในตำแหน่งช่างรังวัดประจำสำนักงานที่ดิน จังหวัดชลบุรี เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ นางสุนันท์ สุวรรณกิจ น้องของจำเลยได้ขอให้พยานไปรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดพิพาท เพราะนางอุไรจะขายที่ดินแปลงนี้บางส่วนให้แก่โจทก์เพื่อเอาเงินมาชำระหนี้ให้แก่จำเลย พยานจึงไปทำการรังวัดโดยมีนางสุนันท์กับโจทก์เป็นผู้นำชี้ เหตุที่นางสุนันท์นำชี้เนื่องจากจำเลยมอบหมายหใ้นางสุนันท์ทำการแทน พยานได้รังวัดและตอกหลักเขตไว้ตามที่บุคคลทั้งสองนำชี้คำนวณเนื้อที่ได้ประมาณ ๒๐๐ ตารางวา ได้แก่ที่ดินภายในบริเวณเส้นสีแดงอักษณ ค.ง.จ. ตามเอกสารหมาย จ.๒ พยานปากนี้ไม่ปรากฏว่าเป็นญาติหรือมีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จึงเชื่อว่าพยานเบิกความไปตามความจริง จำเลยยอมรับว่านางสุนันท์เป็นผู้ดูแลทมี่ดินแทนจำเลยนางสุนันท์เบิกความเป็นพยานจำเลยเจือสมพยานโจทก์ว่าพยานได้พานายสุรินทร์มารังวัดสอบเขตที่พิพาทด้านติดถนนจริง เห็นว่า ถ้าหากนายสุรินทร์รังวัดและตอกหลักเขตที่พิพาทเกินกว่าบริเวณที่นางอุไรขายให้แก่โจทก์แล้ว นางสุนันท์ซึ่งดูแลที่ดินอยู่ย่อมจะต้องคัดค้านในขณะนั้นว่า นายสุรินทร์รังวัดและตอกหลักเขตไม่ถูกต้อง แต่นางสุนันท์มิได้คัดค้าน ตามพฤติการณ์แห่งคดีชี้ให้เห็นว่า นายสุรินทร์ดำเนินการรังวัดและตอกหลักเขตโดยถูกต้องแล้ว รูปที่ดินภายในบริเวณเส้นสีแดงตามเอกสารหมาย จ.๒ มีลักษณะตรงกันกับรูปที่ดินภายในเขตสี่เหลี่ยมหมายเลข ๑, ๒, ๘, ๗ตามแผนที่พิพาท ที่จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทตลอดมา ก็ได้ความจากนางซิม บุตรสนม พยานโจทก์ซึ่งปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในที่ดินติดแนวเขตที่พิพาททางด้านทิศเหนือของที่พิพาทว่า พยานมาอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ก่อนโจทก์ถมดินและปลูกบ้านในที่พิพาท ที่พิพาทมีสภาพเป็นป่าหญ้าฝ่ายจำเลยมิได้นำสืบว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทดังคำให้การและฟ้องแย้ง ที่จำเลยให้การและฟ้องแย้งมาจึงรับฟังไม่ได้ ถึงแม้ยังไม่มีการจดทะเบียนแบ่งแยกโฉนด แต่การที่นางสุนันท์ซึ่งเป็นผู้ที่จำเลยมอบหมายให้ดูแลที่ดินแทนรวมทั้งจำเลยเองยอมให้มีการรังวัดตอกหลักเขตที่พิพาทมีจำนวนเนื้อที่ ๒๐๗ ตารางวา ตรงตามส่วนที่โจทก์มีกรรมสิทธิ์ และโจทก์ก็ได้เข้าถมดินและปลูกสร้างบ้านในบริเวณที่ดินในส่วนนี้ ชี้ให้เห็นว่าโจทก์จำเลยต่างแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัดแล้ว ชอบที่จะแบ่งที่ดินบริเวณดังกล่าวให้แก่โจทก์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.