แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ซึ่งบัญญัติ ถึงบิดามารดากับบุตรว่าเป็นทายาทซึ่งกันและกันนั้น หมายถึง เป็นบิดาและบุตรต่อกันตามกฎหมาย ถ้ามิใช่ก็ไม่เป็น ทายาทและไม่มีสิทธิรับมรดกซึ่งกันและกัน บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของบุตร ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่า ป. ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของน.ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยไม่อุทธรณ์ ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นอันยุติ ฎีกาของจำเลยในปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็น ข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่มิได้ยกเหตุผลมาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ชัดแจ้งว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกควรเป็นอย่างไร เมื่ออ่านแล้วไม่อาจเข้าใจได้และไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยฎีกา โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นใด ด้วยเหตุผลอะไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรของนายแป้น เชยกิจอันเกิดจากนางถวิล เชยกิจ ภรรยาคนแรก ส่วนจำเลยเป็นบุตรของนายแป้นอันเกิดจากนางอารีย์ เชยกิจภรรยาคนที่สอง นางถวิลถึงแก่ความตายวันที่ 30 ตุลาคม 2516นายแป้นถึงแก่ความตายวันที่ 6 ตุลาคม 2536 ระหว่างที่นายแป้นอยู่กินกับนางถวิลมีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3216 ตำบลแควอ้อม (ปากน้ำ) อำเภออัมพวาจังหวัดสมุทรสงคราม เนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 12 ตารางวา มีชื่อนายแป้นและนางถวิลถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน พร้อมบ้านบนที่ดิน1 หลัง เลขที่ 52/1 ต่อมาในปี 2525 ศาลได้มีคำสั่งตั้งนายแป้นเป็นผู้จัดการมรดกของนางถวิล นายแป้นจึงได้โอนที่ดินส่วนที่เป็นทรัพย์มรดกของนางถวิลครึ่งหนึ่งใส่ชื่อโจทก์ที่ 1 แล้วตกลงกันให้โจทก์ที่ 1 แบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ที่ 2 ครึ่งหนึ่งในภายหลังต่อมานายแป้นได้ขอร้องให้โจทก์ที่ 1 โอนที่ดินส่วนดังกล่าวใส่ชื่อนายแป้นแทนโจทก์ทั้งสองโดยให้เหตุผลว่าเพื่อสะดวกในการกู้ยืมเงินหรือจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหรือให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันและนายแป้นได้ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงให้โจทก์ที่ 1 เมื่อนายแป้นถึงแก่ความตายให้โจทก์ที่ 1 ไปรับมรดกตามพินัยกรรมแล้วนำมาแบ่งให้โจทก์ที่ 2ครึ่งหนึ่ง นายแป้นได้ครอบครองที่ดินและบ้านดังกล่าวแทนโจทก์ทั้งสองตลอดมาจนถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ 1 จึงนำใบรับพินัยกรรมไปขอรับพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองเพื่อจัดการรับมรดกตามพินัยกรรมแต่เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบว่านายแป้นได้มาขอรับพินัยกรรมไปแล้วโจทก์ที่ 1 จึงทราบว่านายแป้นได้ทำนิติกรรมยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้จำเลยแล้วแต่คบคิดกันทำนิติกรรมฉ้อฉลว่าเป็นการซื้อขายเป็นเงิน 40,000 บาท เมื่อวันที่8 เมษายน 2536 ก่อนนายแป้นถึงแก่ความตายประมาณ 6 เดือนปัจจุบันที่ดินดังกล่าวมีราคาไร่ละประมาณ 600,000 บาท ทั้งแปลงเป็นเงินประมาณ 3,000,000 บาท ส่วนบ้านมีราคาไม่ต่ำกว่า400,000 บาท หากนำที่ดินและบ้านให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าปีละ 100,000 บาท การกระทำของนายแป้นและจำเลยดังกล่าวทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหายไม่สามารถโอนทรัพย์มรดกส่วนที่เป็นของนางถวิลมาเป็นของโจทก์ทั้งสองได้ขอให้พิพากษาเพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมการจดทะเบียนให้ที่ดินเฉพาะส่วนระหว่างนายสมชัย เชยกิจ ผู้ให้ (โจทก์ที่ 1) กับนายแป้น เชยกิจผู้รับให้ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2525 และเพิกถอนหรือทำลายนิติกรรมขายที่ดินระหว่างนายแป้น เชยกิจ ผู้ขาย กับนางมณี ครุธทะยานผู้ซื้อ (จำเลย) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2536 ของที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3216 ตำบลแควอ้อม (ปากน้ำ) อำเภออัมพวาจังหวัดสมุทรสงคราม ให้กลับสู่สภาพเดิม โดยให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินและบ้านให้โจทก์ทั้งสองครึ่งหนึ่ง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา หากไม่สามารถแบ่งแยกได้ให้นำที่ดินและบ้านออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่งหากที่ดินและบ้านพิพาทพ้นวิสัยที่จะมาแบ่งกันนำมาขายทอดตลาดได้ให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน1,500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระค่าขาดรายได้ให้โจทก์ทั้งสองปีละ 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ที่ 2เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 3216ตำบลแควอ้อม (ปากน้ำ) อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามและบ้านบนที่ดินดังกล่าวจำนวน 1 ใน 10 ส่วน กับให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินและบ้านดังกล่าวให้โจทก์ที่ 2 ตามส่วนดังกล่าวหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากไม่สามารถแบ่งแยกได้ให้นำที่ดินและบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วนดังกล่าว กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 ปีละ 500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะแบ่งแยกที่ดินและบ้านดังกล่าวให้โจทก์ที่ 2หากพ้นวิสัยที่จะนำมาแบ่งกันหรือนำออกขายทอดตลาดได้ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 2 นอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่3216 ตำบลแควอ้อม (ปากน้ำ) อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามและบ้านบนที่ดินดังกล่าวคนละ 1 ใน 6 ส่วน กับให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินและบ้านดังกล่าวให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามส่วนดังกล่าวหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย กรณีไม่สามารถแบ่งแยกได้ให้นำที่ดินและบ้านดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วน กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 833.33 บาท ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะแบ่งแยกที่ดินและบ้านดังกล่าวให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 หากพ้นวิสัยที่จะนำมาแบ่งกันหรือนำออกขายทอดตลาดได้ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นเงินคนละ333,333.33 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่านายแป้น เชยกิจ และนางถวิล เชยกิจ เป็นสามีภรรยากันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน มีบุตรด้วยกัน 4 คน คือโจทก์ที่ 2นายเชีย เชยกิจ โจทก์ที่ 1 และนายสมศักดิ์ เชยกิจซึ่งถึงแก่ความตายไปแล้วโดยไม่มีภรรยาและบุตร นายแป้นมีภรรยาอีก 1 คน คือนางอารีย์ เชยกิจ มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือจำเลยนายศักดา เชยกิจ และนางสาวรุ่งทิว เชยกิจ เดิมนางถวิลมีสามีชื่อนายสว่าง แสงกระจ่าง มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือนางอรุณ แซ่โค้ว นายแป้นกับนางถวิลมีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 3216 ตำบลแควอ้อม (ปากน้ำ)อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม และบ้านบนที่ดิน 1 หลังคือบ้านเลขที่ 52/1 นางถวิลถึงแก่ความตายเมื่อวันที่30 ตุลาคม 2516 ศาลได้มีคำสั่งตั้งนายแป้นเป็นผู้จัดการมรดกของนางถวิล นายแป้นในฐานะผู้จัดการมรดกของนางถวิลได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทในส่วนของนางถวิลให้โจทก์ที่ 1เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2525 และในวันเดียวกันโจทก์ที่ 1 ได้โอนที่ดินพิพาทในส่วนของนางถวิลให้นายแป้น ต่อมาวันที่8 เมษายน 2536 นายแป้นได้จดทะเบียนขายที่ดินและบ้านทั้งแปลงให้จำเลย ตามภาพถ่ายโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.2 หรือล.3 ที่ดินพิพาทพร้อมบ้านเฉพาะส่วนของนางถวิลราคา 1,000,000 บาท ค่าเช่าที่ดินพิพาทปีละ 2,500 บาท
ที่จำเลยฎีกาประการแรกว่า แม้นายแป้นกับนางถวิลไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน เมื่อนายสมศักดิ์ เชยกิจ บุตรของนายแป้นและนางถวิลถึงแก่ความตาย นายแป้นซึ่งเป็นบิดาย่อมได้รับมรดกของนายสมศักดิ์มิใช่ตกได้แก่โจทก์ทั้งสองและนายเชยนั้นเห็นว่า นายแป้นกับนางถวิลไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จึงมิได้เป็นสามีภรรยากันตามกฎหมาย แม้นายสมศักดิ์เป็นบุตรของนายแป้นที่เกิดจากนางถวิลนายแป้นก็มิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมศักดิ์ นายแป้นกับนายสมศักดิ์ไม่มีฐานะเป็นบิดาและบุตรต่อกันตามกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ซึ่งบัญญัติถึงบิดามารดากับบุตรว่าเป็นทายาทซึ่งกันและกันนั้นหมายถึง เป็นบิดาและบุตรต่อกันตามกฎหมาย ถ้ามิใช่ก็ไม่เป็นทายาทและไม่มีสิทธิรับมรดกซึ่งกันและกันนายแป้นจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายสมศักดิ์ซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากนางถวิล
ที่จำเลยฎีกาประการต่อมาว่า นายแป้นยกที่ดินโฉนดเลขที่ 5344ให้แก่โจทก์ที่ 1 เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับที่ดินพิพาทเหตุที่ระยะเวลาการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5344 กับที่ดินพิพาทห่างกันถึง 5 เดือนเศษ เพราะที่ดินพิพาทขณะที่ทำการแลกเปลี่ยนยังมีชื่อนายถวิลถือกรรมสิทธิ์อยู่ นายแป้นจึงต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของนางถวิลทำให้ต้องเสียเวลาไปเมื่อนายแป้นได้เป็นผู้จัดการมรดกของนางถวิลแล้วได้โอนที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 1 ก็โอนที่ดินกลับให้นายแป้นทันทีในเวลาเดียวกันจึงไม่เป็นการผิดปกติวิสัยดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายแป้นโอนโฉนดที่ดินเลขที่ 5344 ให้โจทก์ที่ 1 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2525 ส่วนนายแป้นโอนที่ดินพิพาทบางส่วนให้โจทก์ที่ 1 แล้วโจทก์ที่ 1 โอนกลับให้นายแป้นวันเดียวกันเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2525 ซึ่งเป็นเวลาห่างกันถึง 5 เดือนเศษ หากเป็นการแลกเปลี่ยนที่ดินกันดังที่จำเลยอ้างแล้ว นายแป้นก็ไม่น่าจะรีบโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5344 ให้แก่โจทก์ที่ 1 ไปก่อน โดยน่าจะรอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของนางถวิลก่อนแล้วจึงทำการโอนแลกเปลี่ยนกันในวันเดียวกันทั้งหมด ข้ออ้างของจำเลยจึงขาดเหตุผลในการรับฟัง
ส่วนที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับเรื่องอายุความนั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่า นายแป้นครอบครองที่ดินพิพาทแทนนางถวิล ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยไม่อุทธรณ์ ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นอันยุติ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้นเห็นว่า ปัญหานี้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3เช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สำหรับฎีกาข้ออื่นของจำเลย จำเลยมิได้ยกเหตุผลมาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ชัดแจ้งว่า ไม่ถูกต้องอย่างไรและที่ถูกควรเป็นอย่างไรแต่ฎีกาของจำเลยอ่านแล้วไม่อาจเข้าใจได้และไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ในประเด็นใดด้วยเหตุผลอะไร ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
พิพากษายืน