คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนแล้วฟังว่า การที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของรถพิพาทก่อนโอนให้ ป. นั้น จำเลยมิได้มีกรรมสิทธิ์ในรถคันพิพาทอย่างแท้จริง แต่เป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างจำเลยกับ ป. ในฐานะลูกหนี้เจ้าหนี้ การกระทำของจำเลยหาได้มีเจตนาที่จะมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทที่โอนให้แก่ ป. และการโอนรถพิพาทมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้แล้ว เป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดลำปางในข้อหาหรือฐานความผิดเรื่องผิดสัญญาซื้อขายในระหว่างพิจารณาจำเลยได้โอนขายรถยนต์ คันหมายเลขทะเบียน น – 6387ลำปาง ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้แก่นายประสาน คูสวัสดิ์จำเลยได้กระทำการดังกล่าวเพื่อไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์เฉพาะข้อ 3
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาในชั้นฎีกาว่าอุทธรณ์โจทก์ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ.2499 มาตรา 22 หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากห้างหุ้นส่วนจำกัดคิมวานิช และได้ค้างชำระค่าเช่าซื้อรวมเป็นเงิน 40,000 บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดคิมวานิช ได้ติดตามทวงถามและยื่นคำขาดให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง มิฉะนั้นจะยึดรถคืน จำเลยจึงขอให้นายประสาน คูสวัสดิ์ ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างแทนจำเลย แล้วจำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถพิพาทจากนายประสาน และได้มีการทำเรื่องโอนรถพิพาทจากห้างหุ้นส่วนจำกัดคิมวานิชให้จำเลยและจากจำเลยโอนให้แก่นายประสานตามข้อตกลงการที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของรถพิพาทก่อนโอนให้นายประสานนั้น จำเลยมิได้มีกรรมสิทธิ์ในรถคันพิพาทอย่างแท้จริง แต่เป็นการปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างจำเลยกับนายประสานในฐานะลูกหนี้เจ้าหนี้ การกระทำของจำเลยหาได้มีเจตนาที่จะมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทที่โอนให้แก่นายประสาน และการโอนรถพิพาทมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้แล้ว เห็นว่า เป็นการโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานของศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share