แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติพิเศษให้เลิกบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1236(4) ซึ่งมีผลตามกฎหมายให้บริษัทเลิกกันแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทจะต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทอีก
ผู้ร้องและกรรมการอื่นของบริษัทมีเหตุผิดใจกันไม่อาจชำระบัญชีร่วมกันได้. และข้อบังคับของบริษัทก็ไม่ได้กำหนดเรื่องผู้ชำระบัญชีไว้. ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีของบริษัทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1251 วรรคสอง.
ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นได้มีมติให้ จ. กับ ว. เป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัท. แต่ผู้ร้องขอให้ศาลตั้ง จ.แต่ผู้เดียวเป็นผู้ชำระบัญชีโดยไม่ปรากฏตามทางไต่สวนว่าเป็นเพราะเหตุใด. ข้อเท็จจริงยังไม่พอแก่การวินิจฉัยจึงสมควรให้ศาลชั้นต้นไต่สวนในข้อนี้เสียก่อน.
ย่อยาว
ผู้ร้องร้องว่า บริษัทแวร์ แอนด์ แวร์ มาเก็ตติ้ง เซอร์วิสเซส จำกัดมีผู้ร้องเป็นกรรมการคนหนึ่ง ต่อมากิจการค้าของบริษัทไม่อาจดำเนินต่อไปได้เนื่องจากกรรมการบริษัทเกิดขัดแย้งกัน และกรรมการบางคนได้ลาออก หากดำเนินกิจการต่อไปจะขาดทุนอย่างเดียว ที่ประชุมผู้ถือหุ้นจึงมีมติพิเศษให้เลิกบริษัท และแต่งตั้งนายเจษฎากับนางสาววิไลรัตน์เป็นผู้ชำระบัญชี แต่ปรากฏว่าการแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีของบริษัทไม่มีข้อบังคับกำหนดไว้ และไม่มีกรรมการของบริษัทเป็นผู้ชำระบัญชีอันเกิดจากเหตุข้างต้นผู้ร้องจึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้เลิกบริษัท และแต่งตั้งนายเจษฎาเป็นผู้ชำระบัญชีแต่ผู้เดียว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ประชุมของบริษัทได้มีมติพิเศษให้เลิกบริษัทแล้วไม่จำต้องร้องให้ศาลมีคำสั่งเลิกบริษัทอีก และผู้ร้องจะร้องต่อศาลให้ตั้งผู้ชำระบัญชีได้ต่อเมื่อไม่มีกรรมการของบริษัทเมื่อบริษัทเลิกแล้ว ผู้ร้องไม่มีความจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องฎีกาขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทเพราะการค้าของบริษัททำไปมีแต่ขาดทุนอย่างเดียว และไม่มีทางหวังว่าจะกลับฟื้นตัวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1237(3) นั้น เห็นว่า บริษัทแวร์ แอนด์ แวร์ มาเก็ตติ้ง เซอร์วิสเซส จำกัด ได้มีมติพิเศษให้เลิกบริษัทนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1236(4) จึงมีผลตามกฎหมายให้บริษัทเลิกกันอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทอีก ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นส่วนที่ผู้ร้องฎีกาขอให้ศาลสั่งตั้งนายเจษฎาเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทนั้น มาตรา 1251 ของประมวลกฎหมายเดียวกันนี้บัญญัติว่า”ห้างหุ้นส่วนก็ดี บริษัทก็ดี ในเมื่อเลิกกันเพราะเหตุอื่นนอกจากล้มละลาย หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหรือกรรมการของบริษัทย่อมเข้าเป็นผู้ชำระบัญชี เว้นไว้แต่ข้อสัญญาของห้าง หรือข้อบังคับของบริษัทจะมกำหนดไว้เป็นสถานอื่น
ถ้าไม่มีผู้ชำระบัญชีดั่งว่ามานี้ และเมื่อพนักงานอัยการหรือบุคคลอื่นผู้มีส่วนได้เสียในการนี้ร้องขอ ท่านให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชี”
ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา 1251 มิได้มุ่งหมายที่จะให้ผู้ที่เป็นกรรมการของบริษัทเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทเสมอไปไม่ เพราะมีข้อยกเว้นไว้ว่า ถ้าหากมีข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ผู้ชำระบัญชีของบริษัทก็จะต้องเป็นไปตามข้อบังคับนั้น ๆ และถ้าหากกรรมการของบริษัทไม่อาจเข้าเป็นผู้ชำระบัญชีได้ไม่ว่าด้วยประการใด ๆ และข้อบังคับของบริษัทไม่ได้กำหนดเรื่องผู้ชำระบัญชีไว้ กรณีย่อมต้องด้วยวรรค 2ของมาตรานี้ คือไม่มีผู้ชำระบัญชี ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีได้ มิฉะนั้นบทบัญญัติของมาตรา 1251 วรรค 2 ย่อมไร้ผล ไม่อาจนำมาใช้บังคับแก่กรณีใด ๆ ได้ คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องและนายเดนนิส โรเบอร์ท คริสต๊อฟกรรมการของบริษัทที่เหลืออยู่มีเหตุผิดใจกัน ไม่อาจชำระบัญชีร่วมกันได้ และข้อบังคับของบริษัทก็ไม่ได้กำหนดเรื่องผู้ชำระบัญชีไว้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลตั้งผู้ชำระบัญชีของบริษัทตามมาตรา 1251 วรรค 2 ได้
ปรากฏตามมติที่ประชุมใหญ่ของผู้ถือหุ้นหมาย ร.21 และ ร.35 ว่าหลังจากมีการปรึกษาหารือกันแล้ว ที่ประชุมได้มีมติให้นายเจษฎากับนางสาววิไลรัตน์ เป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัท โดยได้รับค่าตอบแทนไม่เกิน 20,000 บาท แต่ผู้ร้องได้ร้องขอให้ศาลตั้งนายเจษฎาแต่ผู้เดียวเป็นผู้ชำระบัญชีโดยไม่ปรากฏตามทางไต่สวนว่าเป็นเพราะเหตุใดข้อเท็จจริงยังไม่พอแก่การวินิจฉัยว่าสมควรตั้งผู้ชำระบัญชีคนเดียวหรือหลายคน เพราะหน้าที่ของผู้ชำระบัญชีในกรณีที่มีผู้ชำระบัญชีหลายคนแตกต่างกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1261 จึงสมควรให้ศาลชั้นต้นไต่สวนในข้อนี้เสียด้วย
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนในเรื่องสมควรมีผู้ชำระบัญชีของบริษัทคนเดียวหรือหลายคน แล้วมีคำสั่งเรื่องตั้งผู้ชำระบัญชีไปตามรูปคดี