คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375วรรคสองที่กำหนดให้ฟ้องคดีภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองนั้นเป็นบทบังคับเรื่องกำหนดเวลาสำหรับฟ้องหากไม่ฟ้องภายในกำหนดก็หมดสิทธิฟ้องอำนาจฟ้องเรียกคืนที่พิพาทย่อมไม่มีฉะนั้นกำหนดเวลาหนึ่งปีดังกล่าวจึงเป็นระยะเวลาให้สิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินมือเปล่าไม่ใช่เรื่องอายุความเพราะอายุความเป็นเรื่องขณะฟ้องสิทธิเรียกร้องยังมีอยู่แต่ไม่ใช้สิทธินั้นบังคับเสียภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดจึงขาดอายุความห้ามมิให้ฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับพวกเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ทะเบียนหน้า 84 เลขที่416/240 จำเลยทั้งสองนำที่ดินของโจทก์ไปขึ้นทะเบียนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์โดยปกติสุขอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของโจทก์กับพวกโดยชอบ ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยว และบังคับให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเลขที่ 8506 หากจำเลยทั้งสองเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่าเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ไม่ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่ง นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงยุติตามที่คู่ความไม่โต้แย้งว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าและได้มีการขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 ต่อมาปี 2512จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงโดยก่อนที่จะออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงนั้นได้มีการรังวัดที่ดินพิพาทโดยให้เจ้าของที่ดินข้างเคียงมาระวังแนวเขต และได้มีการประกาศตามประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อให้มีผู้มาคัดค้านแต่ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดมาคัดค้าน ทางกรมที่ดินได้ออกหนังสือสำคัญที่หลวงให้จำเลยที่ 2เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และได้มอบให้จำเลยที่ 1 ใช้ประโยชน์ตลอดมาจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ตั้งแต่ปี 2512 แล้วโจทก์เพิ่งนำคดีมาฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 24เมษายน 2534 ซึ่งพ้นกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครองที่พิพาทแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่าโจทก์หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่าคดีนี้จำเลยมิได้ยกอายุความการแย่งการครอบครองขึ้นต่อสู้โจทก์ในคำให้การ ศาลจะอ้างอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าศาลหยิบยกเรื่องอายุความการถูกแย่งการครอบครองขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยน่าจะเป็นการคลาดเคลื่อนต่อหลักกฎหมาย เพราะเป็นการพิจารณาคดีเกินไปกว่าประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ทั้งปัญหาเรื่องโจทก์ถูกแย่งการครอบครองนานเพียงใด น่าจะมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่เป็นปัญหาเรื่องอายุความโดยทั่วไปนั้น เห็นว่า การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375วรรคสอง บัญญัติว่า “การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้นท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับตั้งแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง”การที่กฎหมายใช้คำว่า”ต้องฟ้องภายในปีหนึ่ง” เป็นบทบังคับเรื่องกำหนดเวลาสำหรับฟ้องหากไม่ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็หมดสิทธิฟ้อง คือโจทก์หมดสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท อำนาจฟ้องเรียกคืนที่พิพาทก็ไม่มี ฉะนั้นกำหนดเวลาตามมาตรา 1375 วรรคสอง จึงเป็นระยะเวลาให้สิทธิฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินมือเปล่า ไม่ใช่เรื่องอายุความดังที่โจทก์ฎีกาเพราะอายุความนั้นเป็นเรื่องขณะฟ้องสิทธิเรียกร้องยังอยู่ แต่ไม่ใช่สิทธินั้นบังคับเสียภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงขาดอายุความห้ามมิให้ฟ้องเมื่อการฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินมือเปล่าเป็นสิทธิฟ้องร้องดังวินิจฉัยแล้ว และจำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ไม่ฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในปีหนึ่ง นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ซึ่งเป็นการยกข้อต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าโจทก์หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share