คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารสัญญามีข้อความระบุว่า บริษัท ด. ตกลงอนุญาตให้บริษัทฟ. แต่ผู้เดียวเป็นผู้มีสิทธิเสนอฉายภาพยนตร์พิพาทในประเทศไทย มีกำหนดเวลา 5 ปี เมื่อหมดสัญญาผู้รับอนุญาตจะต้องส่งคืนก๊อบปี้ ภาพยนตร์พิพาทแก่ผู้อนุญาตหรือทำลายพร้อมแสดงหลักฐานการทำลาย ดังนี้ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่บริษัทด.เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทอนุญาตให้บริษัทฟ.ใช้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทชั่วในระยะเวลาหนึ่งและเฉพาะในเขตพื้นที่ตามที่กำหนดในสัญญาเท่านั้นบริษัทด.ยังเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์พิพาทอยู่ซึ่งบริษัทด.อาจอนุญาตให้ผู้อื่นใดใช้ลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทในอาณาเขตประเทศอื่นได้ ดังนั้น การที่บริษัทฟ. ได้ทำหนังสือรับรองลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทว่าได้โอนขายสิทธิ์ในภาพยนตร์ นั้นให้แก่บริษัทก.และต่อมาบริษัทก.ได้ทำหนังสือสัญญาให้โจทก์ร่วมเช่าฟิล์มภาพยนตร์พิพาทอีกทอดหนึ่ง คงทำให้โจทก์ร่วมได้สิทธิในภาพยนตร์พิพาทเพียงเท่าที่บริษัทฟ.มีอยู่ เท่านั้น เมื่อบริษัทฟ.เป็นเพียงผู้รับอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ มิได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิดีกว่าสิทธิของบริษัทฟ.ที่มีอยู่แม้บริษัทด.ได้ทำใบรับรองลิขสิทธิ์ว่า ได้โอนขายลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์พิพาทให้แก่บริษัทก.และเมื่อวันทำสัญญาเช่าดังกล่าวบริษัทก.ได้ทำหนังสือมอบหรือโอนลิขสิทธิ์ให้แก่โจทก์ร่วมด้วยก็ตาม แต่ใบรับรองการโอนลิขสิทธิ์ระหว่างบริษัทด.กับบริษัทก.ทำขึ้นภายหลังหนังสือโอนลิขสิทธิ์ระหว่างบริษัทก.กับโจทก์ร่วม ดังนั้น ที่บริษัทก. ออกหนังสือมอบหรือโอนลิขสิทธิ์ให้โจทก์ร่วมจึงไม่มีผลให้โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์ พิพาทแต่อย่างใด เพราะขณะโอนบริษัทดังกล่าวยังมิได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์นั้นถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมมีลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์ พิพาท โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์ โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521มาตรา 4, 13, 24, 25, 27, 42, 44, 47, 49, 50 พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนไขเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ พ.ศ. 2526 มาตรา 3, 4ให้ภาพยนตร์เรื่องโคตรอันตรายคู่คู่ ของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ และให้จ่ายค่าปรับที่จำเลยชำระตามคำพิพากษาแก่เจ้าของลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ภาพยนตร์ของกลางให้คืนแก่เจ้าของ
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า โจทก์ร่วมมีพยาน 2 ปากคือ นางสาวโรเบอร์ต้า หว่อง และนายจางซุงลุง มาเบิกความว่าบริษัทดีแอนด์บีฟิล์ม จำกัด ผู้สร้างภาพยนตร์พิพาทได้อนุญาตให้บริษัทฟิล์มไลน์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด เป็นผู้ใช้ลิขสิทธิ์ และบริษัทโกลเด็นทาวน์ฟิล์ม จำกัด ได้ซื้อลิขสิทธิ์มาจากบริษัทฟิล์มไลน์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด จึงเป็นการโอนลิขสิทธิ์กันโดยถูกต้องตามกฎหมายนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์สัญญาตามเอกสารหมาย จ.39แล้ว เห็นว่า เอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุว่า บริษัทดีแอนด์บีฟิล์ม จำกัด ตกลงอนุญาตให้บริษัทฟิล์มไลน์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด แต่ผู้เดียวเป็นผู้มีสิทธิเสนอฉายภาพยนตร์พิพาทในประเทศไทย มีกำหนดเวลา 5 ปี เมื่อหมดสัญญาผู้รับอนุญาตจะต้องส่งคืนก๊อบปี้ ภาพยนตร์พิพาทแก่ผู้อนุญาตหรือทำลายพร้อมแสดงหลักฐานการทำลาย ดังนี้ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่บริษัทดีแอนด์บีฟิล์ม จำกัด เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทอนุญาตให้บริษัทฟิล์มไลน์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ใช้สิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทชั่วในระยะเวลาหนึ่งและเฉพาะในเขตพื้นที่ตามที่กำหนดในสัญญาเท่านั้นบริษัทดีแอนด์บีฟิล์ม จำกัด ยังเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์พิพาทอยู่ซึ่งบริษัทดีแอนด์ฟิล์ม จำกัด อาจอนุญาตให้ผู้อื่นใดใช้ลิขสิทธิ์พิพาทในอาณาเขตประเทศอื่นได้ ดังนั้น การที่บริษัทฟิล์มไลน์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ได้ทำหนังสือรับรองลิขสิทธิ์ภาพยนตร์พิพาทว่าได้โอนขายลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์นั้นให้แก่บริษัทโกลเด็นทาวน์ฟิล์ม จำกัด ตามเอกสารหมาย จ.5 และต่อมาวันที่ 23พฤศจิกายน 2529 บริษัทโกลเด้นทาวน์ฟิล์ม จำกัด ได้ทำหนังสือสัญญาให้โจทก์ร่วมเช่าฟิล์มภาพยนตร์พิพาทอีกทอดหนึ่งตามหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย ศ.1 ลงทำให้โจทก์ร่วมได้สิทธิในภาพยนตร์พิพาทเพียงเท่าที่บริษัทฟิล์มไลน์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด มีอยู่เท่านั้น เมื่อบริษัทฟิล์มไลน์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด เป็นเพียงผู้รับอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ มิได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิดีกว่าสิทธิของบริษัทฟิล์มไลน์เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ที่มีอยู่ แม้จะฟังตามที่โจทก์ร่วมพยายามนำสืบมาว่าเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2530บริษัทดีแอนด์บีฟิล์ม จำกัด ได้ทำใบรับรองลิขสิทธิ์ว่าได้โอนขายลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์พิพาทให้แก่บริษัทโกลเด็นทาวน์ฟิล์ม จำกัดตามเอกสารหมาย จ.34 และเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2529 ซึ่งเป็นวันทำสัญญาเช่าดังกล่าวบริษัทโกลเด้นทาวน์ฟิล์ม จำกัด ได้ทำหนังสือมอบหรือโอนลิขสิทธิ์ให้แก่โจทก์ร่วม ตามเอกสารหมาย จ.1ด้วยก็ตาม แต่เห็นได้ว่าใบรับรองการโอนลิขสิทธิ์เอกสารหมาย จ.34ทำขึ้นภายหลังหนังสือโอนลิขสิทธิ์เอกสารหมาย จ.1 ดังนั้น ที่บริษัทโกลเด้นทาวน์ฟิล์ม จำกัด ออกหนังสือมอบหรือโอนลิขสิทธิ์ให้โจทก์ร่วมจึงไม่มีผลให้โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์พิพาทแต่อย่างใด เพราะขณะโอนบริษัทดังกล่าวยังมิได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์นั้น คดีฟังไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมมีลิขสิทธิ์ในภาพยนตร์พิพาท โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจร้องทุกข์โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน

Share