แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้เงิน ตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายจากธนาคารให้โจทก์แล้วบอกห้ามจ่ายเงิน จำเลยให้การรับว่าได้ออกเช็คให้โจทก์เพื่อนายธน (นายธนขอยืมเงินไปซื้อรถโจทก์) และเพื่อให้โจทก์โอนรถยนต์ให้นายธน ๆ จะได้เอารถคันนั้นมาเป็นประกันเงินที่นายธนยืมจากจำเลยไป แต่แล้วทราบว่า โจทก์ไม่มีรถโอนให้นายธน จำเลยจึงห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็ค เป็นเรื่องกลฉ้อฉลจำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ ต่อมาจำเลยขาดนัดพิจารณาและศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยขอให้พิจารณาใหม่ โดยกล่าวในคำขอว่า ตามรายงานพิจารณาของศาลและคำพิพากษาของศาลจังหวัดภูเก็ตยังไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของรูปคดี แล้วบรรยายถึงเหตุที่ตนได้ขาดนัดว่าไม่มีเจตนาหลักเหลี่ยงหรือขัดอำนาจของศาลแต่ประการใด ในที่สุดได้บรรยายว่า ประเด็นที่จะนำสืบก็ตกแก่ฝ่ายจำเลย จะต้องสืบพยานหักล้างหลักฐานก่อนโจทก์ ทั้งรูปคดีของโจทก์ก็เป็นกลฉ้อฉล มีทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ดังนี้ ที่ ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่า การขาดนัดนี้เกิดขึ้นเมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดีไว้แล้ว ข้อความในคำขอก็อนุมานได้ว่าจำเลยหมายถึงเหตุผลดังที่จำเลยได้ต่อสู้คดีในคำให้การ พอที่จะถือได้ว่าจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2505 ระเบียบวาระพิเศษ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้เงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายจากธนาคารให้โจทก์แล้วบอกห้ามจ่ายเงิน
จำเลยให้การว่านายธนพาโจทก์มาพบจำเลย แจ้งว่า โจทก์มีรถยนต์จะขายให้นายธนแต่นายธนมีเงินไม่พอจะขอยืมเงินจากจำเลย โดยรับรองว่าเมื่อโจทก์ได้โอนรถให้นายธนแล้วจะนำรถนั้นมาทำสัญญาประกันหนี้ที่นายธนยืมเงินจำเลย ๆ หลงเชื่อจึงออกเช็คให้ต่อมา ทราบว่าโจทก์ไม่มีรถที่จะโอนให้ จำเลยจึงแจ้งธนาคารมิให้จ่ายเงิน กรณีเป็นเรื่องกลฉ้อฉล จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์
ในการชี้สองสถาน จำเลยรับนำสืบก่อน แต่แล้วจำเลยก็ขาดนัดพิจารณา ศาลจังหวัดภูเก็ตจึงพิพากษาว่า เมื่อภาระการพิสูจน์ตกอยุ่แก่จำเลย ๆ ขาดนัดพิจารณาและศาลถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ จำเลยจึงต้องรับผิดตามข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์
จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นยกคดีขึ้นพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีปัญหาควรพิจารณาว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ ได้กล่าวคัดค้านคำชี้ขาดของศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๐๘ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่ จำเลยกล่าวในคำขอว่า ตามรายงานพิจารณาของศาลและคำพิพากษาของศาลจังหวัดภูเก็ตยังไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายของรูปคดี แล้วก็บรรยายถึงเหตุที่ตนขาดนัดไม่มีเจตนาหลีกเหลี่ยงหรือขัดอำนาจของศาลแต่ประการใด ในที่สุดก็บรรยายว่า ประเด็นที่จะนำสืบก็ตกฝ่ายจำเลยจะต้องสืบพยานหักล้างหลักฐานก่อนโจทก์ ทั้งรูปคดีของโจทก์ก็เป็นกลฉ้อฉล มีทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้พิจารณาความข้อนี้แล้วเห็นว่า การขาดนัดนี้เกิดขึ้นเมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดีไว้แล้ว ฉะนั้น เมื่อพิจารณาข้อความที่จำเลยกล่าวในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ ก็อนุมานได้ว่าจำเลยหมายถึงเหตุผลดังที่จำเลยได้ต่อสู้คดีไว้ในคำให้การ พอที่จะถือว่าจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ แล้ว
เมื่อวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นด้วยแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน