แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 รับเอาโฉนดที่พิพาทของโจทก์ไปโดยบอกว่าจะซื้อ แล้วจัดการโอนเอาเสียเองโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย เมื่อนิติกรรมการโอนที่ดินรายพิพาทมาเป็นของจำเลยที่ 1 เกิดขึ้นจากการทุจริตและโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย นิติกรรมการโอนเป็นโมฆะแล้ว ก็ต้องถือเสมือนว่ามิได้มีนิติกรรมการโอนเกิดขึ้นเลย กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังคงเป็นของโจทก์อยู่ตามเดิม หาตกเป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีสิทธิจะเอาที่ดินนั้นไปจำนองใครได้ การที่จำเลยที่ 2 จดทะเบียนรับจำนองที่ดินรายนี้ไว้จากจำเลยที่ 1 ผู้ไม่มีสิทธิจะจำนองได้ จึงไม่เกิดผลให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิตามนิติกรรมจำนองนั้น
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2501)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองชื่อร่วมกันในโฉนดที่ดิน จำเลยที่ ๑ หลอกลวงโจทก์ขอรับโฉนดไปตรวจสอบที่ดินและสอบสวนราคาเพื่อจะซื้อที่ดินของโจทก์หรือจัดการขายที่ดินให้โจทก์ โจทก์หลงเชื่อจึงมอบโฉนดให้ไป ต่อมาปรากฎว่าจำเลยที่ ๑ ปลอมชื่อ โจทก์ทั้งสองลงในใบมอบฉันทะว่าเป็นผู้ยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ได้ทำการแก้ทะเบียนโอนให้กับตัวจำเลยที่ ๑ เองโดยโจทก์ไม่รู้เห็นด้วย ต่อจากนั้นมาอีกจำเลยที่ ๑ ได้เอาที่ดินไปจำนองไว้กับจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาทำลายนิติกรรมซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้ทำไว้ที่หอทะเบียนที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับ จำเลยที่ ๒ นั้นเสีย และมีคำสั่งให้หอทะเบียนที่ดินแก้ทะเบียนโฉนดให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามสภาพเดิม ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ให้จำเลยทั้งสองใช้ราคาที่ดิน ๓๕๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า ความจริงโจทก์ทั้งสองตกลงยกที่ดินให้จำเลยโดยเสน่หา โดยโจทก์ลงชื่อมอบฉันทะให้จำเลยเป็นผู้มีอำนาจโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลย มิได้ปลอมลายมือชื่อโจทก์ จำเลบจึงมีอำนาจก่อให้เกิดภาระติดพันกับที่ดินรายนี้ได้
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า เป็นผู้รับจำนองที่ดินรายนี้ไว้จากจำเลยที่ ๑ โดยสุจริต
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ ๑ รับโฉนดไปเพื่อจะซื้อที่ดิน ไม่ใช่เป็นเรื่องโจทก์ทำใบมอบฉันทะยกที่ดินให้จำเลยที่ ๑ การทำนิติกรรมแก้ทะเบียนหลังโฉนดให้เป็นชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์นั้น ไม่ใช่เป็นเจตนาหรือการกระทำของโจทก์ จำเลยที่ ๑ หามีสิทธิ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินรายนี้ไม่ โจทก์ไม่เคยขาดจากความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และไม่มีเจตนาในการทำนิติกรรมจำนอง แม้จำเลยที่ ๒ รับจำนองและชำระเงินไปแล้วโดยสุจริตก็ดี ก็ไม่มีผลผูกพันโจทก์แต่ประการใด จำเลยที่ ๒ ชอบที่จะไล่เบี้ยเอากับจำเลยที่ ๑ โดยลำพัง คดียังไม่พอจะชี้ว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ สมคบกันกระทำการไม่สุจริตและไม่พอที่จะถือว่าโจทก์ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงซึ่งจะเป็นเหตุให้โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยที่ ๒ ได้ พิพากษาให้ทำลายนิติกรรมที่จำเลยที่ ๑ ไปทำการแก้ทะเบียนเรื่องโจทก์ทั้งสองยกที่ดินให้จำเลยที่ ๑ และทำลายนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ ๑ กับ จำเลยที่ ๒ นั้นเสีย ให้หอทะเบียนที่ดินแก้ทะเบียนหลังโฉนดให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามเดิมโดยปลอดการจำนอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ผู้เดียฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๑ เป็นอันยุติฟังได้ว่า นิติกรรมการโอนที่ดินรายพิพาทมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ นั้นเป็นโมฆะ
ปัญหามีเฉพาะข้อที่ว่าจำเลยที่ ๒ จะได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายเพียงใด
ในข้อนี้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริง ที่ศาลทั้งสองรับฟังว่า จำเลยที่ ๑ รับเอาโฉนดที่พิพาทของโจทก์ไปโดยบอกว่าจะซื้อ แล้วจัดการโอนเอาเสียเองโดยโจทก์ทั้งสองมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อนิติกรรมการโอนที่ดินรายพิพาทมาเป็นของจำเลยที่ ๑ เกิดขึ้นจากทุจริตและโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย นิติกรรมการโอนเป็นโมฆะแล้ว ก็ต้องถือเสมือนว่ามิได้มีนิติกรรมการโอนเกิดขึ้นเลย กรรมสิทธิ์ในที่ดินรายพิพาทยังคงเป็นของโจทก์อยู่ตามเดิม หาตกไปเป็นของจำเลยที่ ๑ ได้ไม่ และเมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินรายพิพาทแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ไม่มีจะเอาที่ดินรายพิพาทไปจำนองแก่ใครได้ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ ๒ จดทะเบียนรับจำนองที่ดินรายพิพาทไว้จากจำเลยที่ ๑ ผู้ไม่มีสิทธิจะจำนองได้ จึงไม่เกิดผลให้จำเลยที่ ๒ มีสิทธิตามนิติกรรมจำนองนั้น พิพากษายืน