แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนที่ราชการกำหนดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยต้องรับผิดคืนเงินให้โจทก์ฟ้องของโจทก์ไม่ใช่การฟ้องคดีเพื่อติดตามเอาทรัพย์สินของโจทก์คืนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือเงินของโจทก์ไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์ใช้สิทธิเช่นนั้นเว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิแต่เป็นการฟ้องคดีให้จำเลยรับผิดในการละเมิดของจำเลยต่อโจทก์ตามมาตรา420ซึ่งอยู่ในบังคับอายุความ1ปีตามมาตรา448วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยเป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ขณะเกิดเหตุจำเลยรับราชการในตำแหน่งอธิการบดีวิทยาลัยครูนครปฐมซึ่งเป็นหน่วยราชการของโจทก์และเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีหน้าที่ควบคุมดูแลข้าราชการในสังกัดตลอดจนทรัพย์สินต่าง ๆ ของวิทยาลัยครูนครปฐม อีกทั้งมีหน้าที่นำเงินค่าเช่าร้านค้าจากเอกชน เงินกำไรร้านค้าสหการของวิทยาลัยครูนครปฐมส่งเข้าเป็นเงินบำรุงการศึกษาตามระเบียบสภาการฝึกหัดครูว่าด้วยการเก็บเงินบำรุงการศึกษาและเงินค่าธรรมเนียมวิทยาลัยครู เพื่อโจทก์จะได้ควบคุมดูแลตรวจสอบและใช้เงินดังกล่าวในกิจการต่าง ๆ ของโจทก์ได้ ทั้งมีหน้าที่นำเงินที่ผู้อุทิศให้วิทยาลัยครูนครปฐมใช้ในกิจการตามเจตนารมณ์ของผู้อุทิศให้ แต่จำเลยได้ละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่ตามระเบียบโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายกล่าวคือ ระหว่างปีการศึกษา 2520-2523 วิทยาลัยครูนครปฐมให้เอกชนหลายรายเช่าร้านค้าจำหน่ายอาหาร ได้รับเงินค่าเช่าเป็นเงินรวม 187,657 บาท จำเลยส่งเงินค่าเช่าเข้าบำรุงการศึกษาเพียง 29,310 บาท และระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม 2516 ถึงวันที่29 กุมภาพันธ์ 2523 วิทยาลัยครูนครปฐมได้รับเงินรายได้ที่ร้านค้าสหการวิทยาลัยครูนครปฐมจำหน่ายสินค้าได้เป็นจำนวน238,859.70 บาท จำเลยนำรายได้ดังกล่าวส่งเข้าเป็นเงินบำรุงการศึกษาเพียง 97,204.50 บาท จำเลยไม่นำส่งเงินค่าเช่าที่เหลือจำนวน158,365 บาท และเงินรายได้จากร้านสหการที่เหลือจำนวน 141,655.20บาท อ้างว่าได้นำไปใช้ในกิจการของวิทยาลัย โดยไม่ปรากฏหลักฐานการใช้ให้ตรวจสอบ เป็นการฝ่าฝืนระเบียบแบบแผนของทางราชการและระหว่างเดือนมิถุนายน 2522 ถึงเดือนกรกฎาคม 2522วิทยาลัยครูนครปฐมได้รับอนุมัติให้จ้างนายแพทย์สมศักดิ์วินิจฉัยกุล สอนวิชาสุขศึกษารวม 142 ชั่วโมง คิดเป็นเงินค่าสอนทั้งสิ้น 10,650 บาท นายแพทย์สมศักดิ์ได้อุทิศเงินค่าสอนดังกล่าวให้แก่ภาควิชาสุขศึกษา วิทยาลัยครูนครปฐม แต่จำเลยกลับอนุมัติให้เจ้าหน้าที่การเงินเบิกจ่ายและนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ในกิจการอย่างอื่นไม่ตรงตามความประสงค์ของผู้อุทิศโดยไม่ปรากฏหลักฐานการใช้อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบแบบแผนของทางราชการรวมเป็นเงินที่จำเลยใช้ไปโดยไม่ปรากฏหลักฐานการใช้จำนวน 310,670.20 บาท เป็นเหตุให้โจทก์และทางราชการได้รับความเสียหาย ไม่อาจได้เงินจำนวนดังกล่าวทำประโยชน์ในกิจการอื่น ๆของโจทก์ ซึ่งจำเลยต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ โจทก์ทวงถามเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมชำระ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้หรือคืนเงินจำนวน 310,670.20 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องจำเลยทุกประเด็นในมูลหนี้ละเมิดเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่อธิบดีกรมการฝึกหัดครูซึ่งทำการในนามของโจทก์ทราบเรื่องที่อ้างว่าจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดและรู้ตัวว่าจำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่ง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า โจทก์ได้มีคำสั่งตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย จ.51 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งและการชดใช้ค่าเสียหายในการที่ได้มีการนำส่งเงินค่าเช่าร้านขายอาหารในวิทยาลัยครูนครปฐมและเงินรายได้จากร้านค้าสหการของวิทยาลัยครูนครปฐมเป็นเงินบำรุงการศึกษาเพียงบางส่วนและไม่นำส่งเงินที่เหลือตามระเบียบกับนำเงินที่ผู้สอนพิเศษภาควิชาสุขศึกษาอุทิศให้แก่วิทยาลัยครูนครปฐมไปใช้เพื่อกิจการอย่างอื่นโดยไม่ปรากฏหลักฐานการจ่าย และนายสายหยุด จำปาทอง อธิบดีของโจทก์ได้ทราบรายงานการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งและการชดใช้ค่าเสียหายของคณะกรรมการดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.52 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2531 ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการเป็นเงินทั้งสิ้น 310,670.20 บาท ซึ่งจำเลยต้องรับผิดใช้คืนให้แก่โจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2532
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องเรียกเงินจำนวน 310,670.20บาท ของโจทก์คืนจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336, 438 วรรคสอง ไม่อยู่ในบังคับของอายุความละเมิดหรือไม่ ในปัญหานี้เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยได้ยึดถือทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิอันจะเป็นเหตุให้โจทก์สามารถใช้สิทธิติดตามและเอาคืนทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 และมาตรา 438 วรรคสอง แต่อย่างใดกลับปรากฏว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้อย่างชัดแจ้งว่าจำเลยได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนที่ราชการกำหนดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำนวน310,670.20 บาท และจำเลยต้องรับผิดคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ฟ้องของโจทก์จึงไม่ใช่การฟ้องคดีเพื่อติดตามเอาทรัพย์สินของโจทก์คืนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือเงินของโจทก์ไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาให้เจ้าของทรัพย์ใช้สิทธิเช่นนั้น เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ แต่เป็นการฟ้องคดีให้จำเลยรับผิดในการละเมิดของจำเลยต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ซึ่งอยู่ในบังคับอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่านายสายหยุด จำปาทอง อธิบดีของโจทก์ได้ทราบผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบทางแพ่งและการชดใช้ค่าเสียหายตามเอกสารหมาย จ.52 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2531ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน310,670.20 บาท และจำเลยต้องรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนให้โจทก์จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีนี้ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2531แล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องในวันที่ 27 ตุลาคม 2532ล่วงพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันดังกล่าวแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่งฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน