คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2299/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มิได้ บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ยึดถือทรัพย์สินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิอันจะเป็นเหตุให้โจทก์สามารถใช้ สิทธิติดตามและเอาคืนทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา438วรรคสอง,1336แต่กลับบรรยายฟ้องว่าจำเลยได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนที่ราชการกำหนดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำนวน310,670.20บาทและจำเลยต้องรับผิดคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์จึงไม่ใช่การฟ้องคดีเพื่อติดตามเอาทรัพย์สินของโจทก์คืนซึ่งไม่มีกำหนดเวลาเว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิแต่เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดในการ ละเมิดตามมาตรา420ซึ่งอยู่ในบังคับ อายุความ1ปีตามมาตรา448วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง และ แก้ไข คำฟ้อง ว่า โจทก์ เป็น นิติบุคคล ตาม กฎหมายโดย เป็น กรม ใน รัฐบาล สังกัด กระทรวงศึกษาธิการ ขณะ เกิดเหตุ จำเลยรับ ราชการ ใน ตำแหน่ง อธิการบดี วิทยาลัยครู นครปฐม ซึ่ง เป็น หน่วย ราชการของ โจทก์ และ เป็น เจ้าพนักงาน ตาม กฎหมาย มี หน้าที่ ควบคุม ดูแล ข้าราชการใน สังกัด ตลอดจน ทรัพย์สิน ต่าง ๆ ของ วิทยาลัยครู นครปฐม อีก ทั้งมี หน้าที่ นำ เงิน ค่าเช่า ร้านค้า จาก เอกชน เงิน กำไร ร้านค้า สหการ ของวิทยาลัยครู นครปฐม ส่ง เข้า เป็น เงิน บำรุง การศึกษา ตาม ระเบียบ สภา การฝึกหัด ครู ว่าด้วย การ เก็บ เงิน บำรุง การศึกษา และ เงิน ค่าธรรมเนียมวิทยาลัยครู เพื่อ โจทก์ จะ ได้ ควบคุม ดูแล ตรวจสอบ และ ใช้ เงิน ดังกล่าวใน กิจการ ต่าง ๆ ของ โจทก์ ได้ ทั้ง มี หน้าที่ นำ เงิน ที่ ผู้ อุทิศ ให้วิทยาลัยครู นครปฐม ใช้ ใน กิจการ ตาม เจตนารมณ์ ของ ผู้ อุทิศ ให้ แต่ จำเลยได้ ละเว้น การ ปฏิบัติ ตาม หน้าที่ ตาม ระเบียบ โดย จงใจ หรือ ประมาท เลินเล่อเป็นเหตุ ให้ โจทก์ ได้รับ ความเสียหาย กล่าว คือ ระหว่าง ปี การศึกษา2520-2523 วิทยาลัยครู นครปฐม ให้ เอกชน หลาย ราย เช่า ร้านค้า จำหน่ายอาหาร ได้รับ เงิน ค่าเช่า เป็น เงิน รวม 187,765 บาท (ที่ ถูก น่า จะ เป็น187,675 บาท ) จำเลย ส่ง เงิน ค่าเช่า เข้า บำรุง การศึกษา เพียง 29,310 บาทและ ระหว่าง วันที่ 31 พฤษภาคม 2516 ถึง วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2523วิทยาลัยครู นครปฐม ได้รับ เงิน รายได้ ที่ ร้านค้า สหการ วิทยาลัยครู นครปฐมจำหน่าย สินค้า ได้ เป็น จำนวน 238,859.70 บาท จำเลย นำ รายได้ ดังกล่าวส่ง เข้า เป็น เงิน บำรุง การศึกษา เพียง 97,204.50 บาท จำเลย ไม่นำ ส่งเงิน ค่าเช่า ที่ เหลือ จำนวน 158,365 บาท และ เงิน รายได้ จาก ร้าน สหการที่ เหลือ จำนวน 141,655.20 บาท อ้างว่า ได้ นำ ไป ใช้ ใน กิจการ ของ วิทยาลัยโดย ไม่ปรากฏ หลักฐาน การ ใช้ ให้ ตรวจสอบ เป็น การ ฝ่าฝืน ระเบียบ แบบ แผนของ ทางราชการ และ ระหว่าง เดือน มิถุนายน 2522 ถึง เดือน กรกฎาคม 2522วิทยาลัยครู นครปฐม ได้รับ อนุมัติ ให้ จ้าง นายแพทย์ สมศักดิ์ วินิจฉัยกุล สอน วิชา สุข ศึกษา รวม 142 ชั่วโมง คิด เป็น เงิน ค่า สอน ทั้งสิ้น 10,650 บาท นายแพทย์ สมศักดิ์ ได้ อุทิศ เงิน ค่า สอน ดังกล่าว ให้ แก่ ภาค วิชา สุข ศึกษา วิทยาลัยครู นครปฐม แต่ จำเลย กลับ อนุมัติ ให้เจ้าหน้าที่การเงิน เบิกจ่าย และ นำ เงิน จำนวน ดังกล่าว ไป ใช้ ใน กิจการอย่างอื่น ไม่ ตรง ตาม ความ ประสงค์ ของ ผู้ อุทิศ โดย ไม่ปรากฏ หลักฐานการ ใช้ อันเป็น การ ฝ่าฝืน ระเบียบ แบบ แผน ของ ทางราชการ รวมเป็น เงินที่ จำเลย ใช้ ไป โดย ไม่ปรากฏ หลักฐาน การ ใช้ จำนวน 310,670.20 บาทเป็นเหตุ ให้ โจทก์ และ ทางราชการ ได้รับ ความเสียหาย ไม่อาจ ได้ เงินจำนวน ดังกล่าว ทำประโยชน์ ใน กิจการ อื่น ๆ ของ โจทก์ ซึ่ง จำเลย ต้องรับผิดชอบ ต่อ โจทก์ โจทก์ ทวงถาม เงิน จำนวน ดังกล่าว จาก จำเลย แล้วแต่ จำเลย ไม่ยอม ชำระ ขอให้ บังคับ จำเลย ชดใช้ หรือ คืนเงิน จำนวน310,670.20 บาท ให้ แก่ โจทก์ พร้อม ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ เจ็ด ครึ่งต่อ ปี นับแต่ วันฟ้อง จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ
จำเลย ให้การ และ แก้ไข คำให้การ ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง ฟังได้ เป็น ยุติตาม ที่ ไม่มี คู่ความ ฝ่ายใด ฎีกา โต้แย้ง เป็น อย่างอื่น ว่า โจทก์ ได้ มีคำสั่ง ตาม สำเนา คำสั่ง เอกสาร หมาย จ. 51 แต่งตั้ง คณะกรรมการ สอบสวนหา ตัว ผู้รับผิดชอบ ทางแพ่ง และ การ ชดใช้ ค่าเสียหาย ใน การ ที่ ได้ มี การนำ ส่ง เงิน ค่าเช่า ร้าน ขาย อาหาร ใน วิทยาลัยครู นครปฐม และ เงิน รายได้จาก ร้านค้า สหการ ของ วิทยาลัยครู นครปฐม เป็น เงิน บำรุง การศึกษาเพียง บางส่วน และ ไม่นำ ส่ง เงิน ที่ เหลือ ตาม ระเบียบ กับ นำ เงิน ที่ผู้ สอน พิเศษ ภาค วิชา สุข ศึกษา อุทิศ ให้ แก่ วิทยาลัยครู นครปฐม ไป ใช้เพื่อ กิจการ อย่างอื่น โดย ไม่ปรากฏ หลักฐาน การ จ่าย และ นาย สายหยุด จำปาทอง อธิบดี ของ โจทก์ ได้ ทราบ รายงาน การ สอบสวน หา ตัว ผู้รับผิดชอบ ทางแพ่ง และ การ ชดใช้ ค่าเสียหาย ของ คณะกรรมการ ดังกล่าว ตามเอกสาร หมาย จ. 52 เมื่อ วันที่ 7 มีนาคม 2531 ว่า จำเลย ไม่ปฏิบัติตาม ระเบียบ ทำให้ เกิด ความเสียหาย แก่ ทางราชการ เป็น เงิน ทั้งสิ้น310,670.20 บาท ซึ่ง จำเลย ต้อง รับผิด ใช้ คืน ให้ แก่ โจทก์ และ โจทก์ ฟ้องคดี นี้ เมื่อ วันที่ 27 ตุลาคม 2532
คดี มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ใน ชั้น นี้ ตาม ที่ โจทก์ ฎีกา ว่า ฟ้อง ของโจทก์ ยัง ไม่ขาดอายุความ เพราะ โจทก์ ฟ้อง เรียกเงิน จำนวน 310,670.20 บาทของ โจทก์ คืน จาก จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336,438 วรรคสอง ไม่อยู่ ใน บังคับ ของ อายุความ ละเมิด หรือไม่ ใน ปัญหา นี้เห็นว่า ตาม คำฟ้อง ของ โจทก์ ไม่ปรากฏ ว่า โจทก์ ได้ บรรยาย ว่า จำเลยได้ ยึดถือ ทรัพย์สิน ของ โจทก์ ไว้ โดย ไม่มี สิทธิ อัน จะ เป็นเหตุ ให้โจทก์ สามารถ ใช้ สิทธิ ติดตาม และ เอาคืน ทรัพย์สิน ของ โจทก์ จาก จำเลยผู้ ไม่มี สิทธิ ที่ จะ ยึดถือ ไว้ ได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 และ มาตรา 438 วรรคสอง แต่อย่างใด กลับ ปรากฏว่า โจทก์ได้ บรรยายฟ้อง ไว้ อย่าง ชัดแจ้ง ว่า จำเลย ได้ ละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ตาม ระเบียบ แบบ แผนที่ ราชการ กำหนด โดย จงใจ หรือ ประมาท เลินเล่อเป็นเหตุ ให้ โจทก์ ได้รับ ความเสียหาย จำนวน 310,670.20 บาท และ จำเลยต้อง รับผิด คืนเงิน จำนวน ดังกล่าว ให้ โจทก์ ฟ้อง ของ โจทก์ จึง ไม่ใช่การ ฟ้องคดี เพื่อ ติดตาม เอา ทรัพย์สิน ของ โจทก์ คืน จาก จำเลย ผู้ ไม่มี สิทธิยึดถือ เงิน ของ โจทก์ ไว้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336ซึ่ง ไม่มี กำหนด เวลา ให้ เจ้าของ ทรัพย์ ใช้ สิทธิ เช่นนั้น เว้นแต่จะ ถูก จำกัด ด้วย อายุความ ได้ สิทธิ แต่ เป็น การ ฟ้องคดี ให้ จำเลย รับผิดใน การ ละเมิด ของ จำเลย ต่อ โจทก์ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 ซึ่ง อยู่ ใน บังคับ อายุความ 1 ปี นับแต่ วันที่ โจทก์ รู้ ถึงการ ละเมิด และ รู้ตัว ผู้จะพึง ต้อง ใช้ ค่าสินไหมทดแทน ตาม ประมวล กฎหมายแพ่ง และ พาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก เมื่อ ข้อเท็จจริง ฟังได้ เป็น ยุติว่า นาย สายหยุด จำปาทอง อธิบดี ของ โจทก์ ได้ ทราบ ผล การ สอบสวน ของ คณะกรรมการ สอบสวน หา ตัว ผู้รับผิดชอบ ทางแพ่ง และ การ ชดใช้ ค่าเสียหายตาม เอกสาร หมาย จ. 52 เมื่อ วันที่ 7 มีนาคม 2531 ว่า จำเลย ไม่ปฏิบัติตาม ระเบียบ ทำให้ โจทก์ เสียหาย เป็น เงิน 310,670.20 บาท และ จำเลยต้อง รับผิด ใช้ เงิน จำนวน ดังกล่าว คืน ให้ โจทก์ จึง ฟังได้ ว่า โจทก์ได้ รู้ ถึง การ ละเมิด และ รู้ตัว ผู้จะพึง ต้อง ใช้ ค่าสินไหมทดแทน ใน คดี นี้ตั้งแต่ วันที่ 7 มีนาคม 2531 แล้ว ดังนั้น เมื่อ โจทก์ นำ คดี นี้มา ฟ้อง ใน วันที่ 27 ตุลาคม 2532 ล่วงพ้น กำหนด 1 ปี นับแต่ วัน ดังกล่าวแล้ว คดี ของ โจทก์ จึง ขาดอายุความ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคแรก ฎีกา ของ โจทก์ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share