คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 เสพสุราอยู่ในลักษณะมึนเมาและอาจจะมีเหตุกินใจกันมาก่อน จำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ 2 จึงยิงจำเลยที่ 1 เป็นการแก้แค้น การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนตามกฎหมาย แต่การที่จำเลยที่ 2 ถูกจำเลยที่ 1 ยิงก่อนถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๒๗ เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยที่ ๑ พาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและจำเลยที่ ๒ ได้มีอาวุธปืนพกและกระสุนปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและจำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ ๒ ถูกที่บริเวณหน้าอกเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายสาหัส แต่ไม่ถึงแก่ความตายสมเจตนาของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ ๑ ถูกที่บริเวณลำคอด้านซ้ายเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายสาหัสแต่ไม่ถึงแก่ความตายสมเจตนาของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ เป็นจำเลยคนเดียวกับจำเลยที่ ๒ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๔๐๘/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้น เหตุเกิดที่ตำบลบ้านเบิก อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๐, ๙๑ และ ๒๘๘ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒ และ ๗๒ ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๔ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ ข้อ ๓, ๖ และ ๗ ริบอาวุธปืนเครื่องหมายทะเบียน ลบ.๒/๓๔๙๘ คืนอาวุธปืนเครื่องหมายทะเบียน ลบ.๒/๓๓๗๐ นับโทษจำเลยที่ ๒ ต่อจากคดีอาญาดังกล่าวในฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ ๒ รับว่าเป็นจำเลยคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๔๐๘/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ และ ๒๘๘ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒ และ ๗๒ ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๔ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ ข้อ ๓ ๖ และ ๗ ให้ลงโทษจำคุกความผิดฐานพยายามฆ่าคนละ ๑๐ ปี ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีใบอนุญาต กำหนด ๒ เดือน ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๒ ฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นกำหนด ๖ เดือน และฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีใบอนุญาตกำหนด ๔ เดือน ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้น จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่๑ กำหนด ๑ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๒ กำหนด ๓ เดือน และ ๒ เดือน ตามลำดับ รวมโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๑๐ ปี ๑ เดือน และจำเลยที่ ๒ ไว้ ๑๐ ปี ๕ เดือน ริบอาวุธปืนลูกซองพกเครื่องหมายทะเบียน ลบ.๒/๓๔๙๘ คืนอาวุธปืนลูกซองพก เครื่องหมายทะเบียน ลบ.๒/๓๓๗๐ แก่เจ้าของ นับโทษจำเลยที่ ๒ ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๖๗๔/๒๕๒๘ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ และ ๘๐ ประกอบด้วยมาตรา ๗๒ จำคุก ๕ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า โจทก์มีนางส้มแป้นเจ้าของร้านค้าที่เกิดเหตุเบิกความว่า จำเลยที่ ๑ นั่งดื่มสุราตั้งแต่เวลาเที่ยงเศษจนถึงเวลาเกิดเหตุประมาณ ๑๙ นาฬิกา มีจำเลยที่ ๒ เข้ามาในร้านและเข้าไปนั่งคุยกับจำเลยที่ ๑ แล้วมีเสียงปืนดังขึ้น ๒ นัดติดกันจึงหันไปดูเห็นจำเลยที่ ๒ ยิงจำเลยที่๑ ล้มลงแล้วจำเลยที่ ๒ วิ่งออกไปจากร้าน ในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นวันเดียวกับวันเกิดเหตุนางส้มแป้นให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยที่ ๑ และพวกดื่มสุรามีอากรมึนเมาเวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกาจำเลยที่ ๒ ซึ่งอยู่ในอาการเมาสุราเช่นกันเข้ามาในร้านแล้วถามหาคนชื่อนายชินซึ่งไม่มีอยู่ในร้าน ในขณะนั้นจำเลยที่ ๑ เข้าไปพูดขอร้องกับจำเลยที่ ๒ ว่า อย่าได้มีเรื่องอะไรกันเลย เมื่อทั้งสองคนคุยกันแล้วได้พากันเดินมาที่แคร่อีกมุมหนึ่ง ทันใดนั้นเห็นจำเลยที่ ๒ ชักปืนสั้นออกมาจ่อยิงจำเลยที่ ๑ ในระยะเวลากระชั้นชิดเสียงปืนดังสองนัด จำเลยที่ ๑ ถูกกระสุนปืนล้มฟุบ ส่วนจำเลยที่ ๒ ก็ออกวิ่งหนีออกจากร้าน นายสุชาติ คชชารีย์ พยานโจทก์เบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลา ๑๖ นาฬิกาได้เข้าไปในร้านของนางส้มแป้น พบจำเลยที่ ๑ดื่มสุราอยู่ในร้านจึงเข้าไปร่วมดื่มด้วยจนถึงเวลาประมาณ๑๙.๓๐ นาฬิกา เห็นจำเลยที่ ๒ คนเดียวเข้ามาในร้านค้า และไปนั่งที่แคร่หน้าตู้เพลงซึ่งมีจำเลยที่ ๑ นั่งอยู่ด้วย เมื่อจำเลยที่ ๒ เข้ามานั่งแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ลุกออกไปนั่งอีกแคร่หนึ่งห่างประมาณ ๒ วา อีกสักพักหนึ่งพยานได้ลุกขึ้นจะเดินกลับบ้าน จำเลยที่ ๒ ลุกตามมาจะกลับบ้านด้วย พอเดินเกือบจะพ้นร้าน จำเลยที่ ๑ ลุกขึ้นวิ่งมาพร้อมกับชักอาวุธปืนลูกซองพกออกจากเอวด้านขวายิงจำเลยที่ ๒ จำนวน ๑ นัด จำเลยที่ ๒ ก็ชักปืนลูกซองพกจากเอวออกยิงจำเลยที่ ๑ จำนวน ๑ นัดเช่นกัน ในชั้นสอบสวน เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๒๗ พยานปากนี้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า เมื่อพยานเข้าไปในร้าน เห็นจำเลยทั้งสองนั่งดื่มสุราอยู่ที่แคร่เดียวกัน ต่อมาประมาณ ๑๐ นาที เห็นจำเลยที่ ๑ ลุกออกไปนั่งอีกแคร่หนึ่ง แล้วให้การต่อไปเช่นเดียวกับคำเบิกความต่อศาล นายจำลอง แย้มเยื้อน พยานโจทก์เบิกความว่าได้เข้าไปร่วมวงดื่มสุรากับจำเลยที่ ๑ และพวกเด็ก พอเวลาประมาณ๑๙ นาฬิกา ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ๑ นัด ก็ลุกขึ้นหนีออกไปจากร้าน รุ่งเช้าจึงทราบจากชาวบ้านว่าจำเลยทั้งสองต่างยิงกันคนละนัด ในชั้นสอบสวน เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๒๘ พยานปากนี้ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าเข้าไปดื่มสุราเห็นจำเลยที่ ๑คนเดียวนอกนั้นไม่รู้จัก เมื่อเวลาประมาณ ๑๙.๓๐ นาฬิกา จำเลยที่๑ ลุกขึ้นกลับบ้านแล้วไปยืนอยู่ที่แคร่ติดกับที่วางของขายสักครู่หนึ่งมีเสียงปืนดังขึ้น ๑ นัด ตรงที่จำเลยที่ ๑ ยืนอยู่ จำเลยที่ ๑ ล้มฟุบลงไม่เห็นใครยิง ส่วนเสียงปืนนัดที่สองจำเลยที่ ๑ เป็นคนยิงออกไปทางหน้าร้าน นายแป้ง อาจมังกร พยานโจทก์เบิกความว่า เวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกา ได้เข้าไปซื้ออาหารที่ร้านนางส้มแป้น เห็นจำเลยที่ ๑ นั่งดื่มสุราอยู่ในร้านและเห็นจำเลยที่ ๒ กำลังยืนจะออกจากร้านอยู่กับนายสุชาติได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางที่จำเลยที่ ๑ นั่งอยู่จำนวน ๑นัด จึงหันไปมองดูเห็นจำเลยที่ ๑ กำลังถือปืนสั้นอยู่สองมือแล้วพยานก็ได้วิ่งจากร้านกลับไปบ้าน รุ่งขึ้นตอนเช้าทราบข่าวจากชาวบ้านว่าจำเลยทั้งสองยิงกัน พยานปากนี้ในทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าให้การในชั้นสอบสวนไว้อย่างไร นอกจากนี้โจทก์ไม่มีพยานอื่นที่รู้เห็นเหตุการณ์อีก ศาลฎีกาได้ประมวลคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวข้างต้น ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในลักษณะมึนเมาสุราและอาจจะมีเหตุกินใจกันมาก่อน จึงได้เกิดยิงกันขึ้นโดยจำเลยที่ ๑เป็นฝ่ายยิงก่อน แล้วจำเลยที่ ๒ จึงยิงจำเลยที่ ๑ เป็นการแก้แค้น มิใช่เป็นการป้องกันสิทธิของตนและคงจะมิใช่ต่างคนต่างยิงกันดังที่โจทก์ฎีกา เพราะตามข้อนำสืบของโจทก์ไม่มีพยานโจทก์คนใดรู้เห็นชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองต่างสมัครใจยิงทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันโดยการวิวาทโต้เถียงแต่ประการใด ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๒ ยิงจำเลยที่ ๑ หลังจากที่ถูกจำเลยที่ ๑ ยิงแล้ว เช่นนี้ ก็เนื่องจากจำเลยที่ ๒ บันดาลโทสะที่ถูกจำเลยที่ ๑ ยิงก่อน ถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เพราะอาวุธปืนนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่าสามารถประทุษร้ายร่างกายให้ถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยที่ ๒ จึงเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐ ประกอบด้วยมาตรา๗๒ ดังศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share